นนทบุรีผบช.สตม.แถลงข่าวจับชาวต่างชาติกระทำผิดในประเทศไทยหลายคดี ส่วนกรณีชาวจีนเข้ามาขอทานในประเทศอยู่ระหว่างตรวจสอบหากกระทำผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศ

นนทบุรีผบช.สตม.แถลงข่าวจับชาวต่างชาติกระทำผิดในประเทศไทยหลายคดี ส่วนกรณีชาวจีนเข้ามาขอทานในประเทศอยู่ระหว่างตรวจสอบหากกระทำผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศ

นนทบุรีผบช.สตม.แถลงข่าวจับชาวต่างชาติกระทำผิดในประเทศไทยหลายคดี ส่วนกรณีชาวจีนเข้ามาขอทานในประเทศอยู่ระหว่างตรวจสอบหากกระทำผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศ

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 23 พ.ย.66 ที่ห้องสวนพลู ชั้น 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี

แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติที่กระทำความผิดในประเทศไทยตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัย อยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของ ประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้ 1.สืบ ตม. รวบแก๊งต่างชาติหลอกทําวีซ่าเชงเก้นปลอม บก.สส.สตม. เพิกถอนวีซ่าและจับกุมแก๊งต่างชาติ ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกชาวต่างชาติทำวีซ่าเชงเก้นปลอม และเป็น นายหน้ารับทำวีซ่า ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อผลักดันส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร จํานวน 4 ราย ดังนี้ 1. นายอัมหมาด (นามสมมติ) อายุ 31 ปี สัญชาติปากีสถาน 2. นายมูฮัมหมัด (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติปากีสถาน 3. นายชาคืน (นามสมมติ) อายุ 33 ปี สัญชาติปากีสถาน 4. นายอิฟาน (นามสมมติ) อายุ 28 ปี สัญชาติปากีสถาน พฤติการณ์การกระทำความผิด คือ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนทราบว่ามีกลุ่มชาวปากีสถานรับทำวีซ่าเชงเก้นให้กับ ชาวต่างชาติที่ต้องการจะเดินทางไปประเทศกลุ่มเชงเก้น ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าวีซ่าเชงเก้นที่กลุ่ม ชาวปากีสถานรับทำเป็นวีซ่าปลอม จึงให้นายโรหิต (สายลับ) ชาวอินเดียติดต่อกับกลุ่มดังกล่าวเพื่อขอทำวีซ่า โดยนายโรหิต ได้ติดต่อกับนายอัมหมาด หนึ่งในสมาชิกกลุ่มชาวปากีสถาน ซึ่งนายอัมหมาดได้ให้นายโรหิตมอบหนังสือเดินทางให้กับตน พร้อมทั้งลงชื่อในแบบฟอร์มการขอวีซ่าเชงเก้น และแจ้งให้นายโรหิตเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการเป็นเงิน 7,000 ยูโร (ประมาณ 267,000 บาท) โดยตกลงว่าเมื่อนายโรหิตจ่ายเงินครบแล้ว นายอัมหมาดจะนำหนังสือเดินทางพร้อมวีซ่า เชงเก้นมาให้นายโรหิต ต่อมานายอัมหมาดได้ส่งภาพถ่ายแผ่นปะวีซ่าเชงเก้นที่อ้างว่าไปดำเนินการเรียบร้อยแล้วมาให้ นายโรหิต และให้บายโรหิตถ่ายภาพเงิน 7,000 ยูโร สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่งไปให้นายอัมหมาดตรวจสอบ เพื่อจะนัดวันรับหนังสือเดินทางและวีซ่า จากนั้นนายโรหิตจึงได้ส่งภาพแผ่นปะวีซ่าเชงเก้นที่ได้รับจากนายอัมหมาดมาให้ เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.สส.สตม. เพื่อตรวจสอบ และกก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ส่งภาพถ่ายแผ่นปะวีซ่าเชงเก้นไปให้ สถานเอกอัครราชทูตอิตาลี ประจำประเทศไทย ตรวจสอบพบว่าเป็นของปลอม จึงวางแผนให้นายโรหิตนัดหมายมาส่งมอบหนังสือเดินทางและรีค่าเชงเก้นที่ร้านสะดวกซื้อเขตพื้นที่ กทม. เมื่อถึงเวลานัดหมายนายอัมหมาด หนังสือเดินทางที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยมีนายมูฮัมหมัด แจ้งว่าจะมารับนายโรหิตไปรับ และนายชาคืนนั่งอยู่ในรถแท็กซี่รอรับนายโรหิตหน้าร้านสะดวกซื้อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. จึงแสดงตัวเพื่อตรวจสอบเอกสารประจำตัวของนายอัมหมาด, นายมูฮัมหมัด และนาย ชาคืน และเดินทางไปตรวจสอบที่พักของ นายอัมหมาด, นายมูฮัมหมัด และนายชาคืน ที่อพาร์ทเม้นท์ ย่าน ซ.ลาดพร้าว 148 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ พบ นายอิฟาน พักอาศัยภายในห้องดังกล่าว และตรวจพบ หนังสือเดินทางของนายโรหิต ซึ่งไม่พบแผ่นปะวีซ่าเชงเก้นภายในเล่มหนังสือเดินทางแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังพบหนังสือ เดินทางประเทศอินเดีย จำนวน 2 เล่ม, แบบฟอร์มคำขอวีซ่าสาวพร้อมเอกสารของคนต่างด้าวที่จะขอวีซ่า จำนวน 16 ชุด จึงได้ตรวจยึดเอกสารดังกล่าวส่ง พนักงานสอบสวน จากการตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ พบว่า นายอัมหมาด, นายมูฮัมหมัด, นายชาคืน และนายอิท่าน ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำงานโดยเป็นนายหน้ารับทําวีซ่าเชงเก้น อีกทั้งยังมีการส่งข้อความชักชวนชาวต่างชาติรายอื่นๆ ทำวีซ่าเชงเก้นอีกจำนวนมาก ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่สามารถทำวีซ่าได้จริง เป็นการหลอกลวงชาวต่างชาติทำ วีซ่าเชงเก้นปลอม และจากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางพบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายอัมหมาด นายมูฮัมหมัด, นายชาคืน และนายอิฟาน ยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร บุคคลทั้ง 4 รายดังกล่าว เนื่องจากพิจารณาเห็นว่ามีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะ ก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการส่งกลับออกไปนอก ราชอาณาจักรต่อไป
ส่วนคดีที่ 2.สืบ ตม. จับชายแดนมักกะโรนี overstay หนีคดีปล้นทรัพย์คนพิการซุกไทย บก.สส.สตม. จับกุมนายเอ (นามสมมติ) อายุ 63 ปี สัญชาติอิตาลี โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ใน ราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย สืบเนื่องจาก ตร. ได้สั่งการให้ สตม. พิจารณาดำเนินการ กรณีสำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลโรม มีหนังสือ ขอความร่วมมือมายังกองการต่างประเทศ เพื่อให้สืบสวนติดตามจับกุมนายเอ (นามสมมติ) อายุ 63 ปี สัญชาติอิตาลี ผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการอิตาลี ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ และเป็นบุคคลตามประกาศตำรวจสากล สีแดง และได้หลบหนีมาอยู่ในประเทศไทย เพื่อส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐอิตาลี พฤติการณ์กระทำผิด คือ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.53 ในสาธารณรัฐอิตาลี นายเอดีได้ร่วมกับพวกปลั่นคู่สามีภรรยาสูงอายุซึ่งเป็นชายตาบอดและหญิงพิการ โดยบุกรุก เข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย ข่มขู่และใช้ความรุนแรงกับผู้เสียหาย จากนั้นได้ขโมยเอาเงินสด จำนวน 28,000 ยูโร (ประมาณ 1,077,000 บาท) และเพชรพลอยสร้อยข้อมือ นาฬิกา และคลิปหนีบเนคไท พร้อมสมุดบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์ ของผู้เสียหายทั้ง 2 คนไป บก.สส.สตม. จึงมอบหมายให้ กก.1 บก.สส.สตม. ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายเอดี เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ก.พ.63 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.30 และ ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปด้วยเหตุผล ใช้ชีวิตบั้นปลาย ถึงวันที่ 30 ม.ค.66 ซึ่งการอนุญาต ให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว จึงสืบสวนติดตามหาตัวนายเอดิ จนกระทั่งทราบว่านายเอติ ได้ไปพักอาศัยใน คอนโดมิเนียมในย่าน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้ร่วมกับ ตม.จว.ชลบุรี บก.ตม.3 ไปตรวจสอบพบนายเอดิ จึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และจับกุมส่ง พนักงาน สอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย
คดีที่ 3.บก.ตม.6 รวบหนุ่มรัสเซีย หนึ่งในสมาชิก “ธุรกรรมทางการเงินเถื่อน” รับฝาก โอน ถอน เก็บเงินผิด กฎหมายทุกชนิด ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าเงินผิดกฎหมายหมุนเวียน 1,643 ล้านบาท บก.ตม.6 จับกุมนายนาโกโร (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี สัญชาติรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ใน ราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ควนโดน จว.สตูล ดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อ 21 พ.ย.66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สตูล ได้รับแจ้งจากประชาชน พบบุคคลต่างชาติท่าทางมีพิรุธ บริเวณตลาดชายแดน ต.วังประจัน อ.ควนโดน จว.สตูล เจ้าหน้าที่สืบสวนซึ่งกำลังตั้งด่านตรวจรถยนต์ที่กำลังจะออก นอกประเทศไปยังมาเลเซีย จึงได้นำกำลังไปตรวจพบบุคคลต้องสงสัยตามที่ได้รับแจ้ง เมื่อพบนายนาโกโร จึงขอตรวจ หนังสือเดินทางพบว่า การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดของนายนาโกโรสิ้นสุดลงแล้ว จึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และจับกุมส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ควนโดน จว.สตูล ดำเนินคดีตามกฎหมาย และได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายบาโกโร ยังเป็นบุคคลตาม หมายจับตำรวจสากล (Red Notice) พฤติการณ์การกระทำความผิด คือ เมื่อประมาณเดือน ต.ค.61 ถึง ก.ค.63 ที่เมือง มอสโกและเมืองบรานค์ สาธารณรัฐรัสเซีย นายนาโกโร สมาชิกกลุ่มอาชญากรรมขนาดใหญ่ในรัสเซีย ได้รับดำเนิน ธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยรับ ฝาก ถอน โอน และเก็บรักษาเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้บริการกับ บุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรที่ได้เงินมาโดยผิดกฎหมายและไม่ต้องการแสดงตนในการทำธุรกรรม โดยได้รับค่าบริการใน อัตรา 10% ของยอดเงินที่ใช้บริการ ซึ่งนายนาโกโรรับหน้าที่เป็นผู้หาลูกค้ามาใช้บริการดังกล่าว มูลค่าเงินหมุนเวียนผิด กฎหมาย จำนวน 1,643 ล้านบาท ผลกำไรประมาณ 164 ล้านบาท
พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. กล่าวเพิ่มเติมว่าทางสตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศ ไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงประเด็นชาวจึนที่มีลักษณะคนพิการทั้งหน้าตา แขนขา เข้ามาทำอาชีพขอทานในเขตกทม.ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้นว่าทางสตม.ได้มีการดำเนินการอย่างไรบ้าง พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่ากรณีเคสคนสัญชาติจีนทั้งหญิงและชายลักษณะพิการที่เข้ามาขอทานในประเทศไทย ขณะนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ทางชุดสืบสวนสตม.ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนนครบาล ในการตรวจสอบว่าคนสัญชาติจีนพวกนี้เข้ามาในประเทศได้อย่างไร มีใครช่วยเหลือหรือไม่อย่างไรมีการทำเป็นขบวนการหรือไม่ซึ่งเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างสืบสวน ส่วนประเด็นที่ว่าตอนเดินทางเข้าประเทศไทยคนสัญชาติจีนพวกนี้มีหน้าตาลักษณะพิการทำไมเจ้าหน้าที่ไม่ตรวจสอบถึงให้ผ่านเข้าประเทศมาได้ ต้องชี้แจ้งอย่างนี้ว่าเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจมีการตรวจสอบหลายขั้นตอน ทั้งการตรวจสอบวีซ่าเข้าออกประเทศ บุคคลที่จะเข้ามามีหมายจับหรือไหม ซึ่งถ้าเขาไม่มีหมายจับและยังไม่ได้กระทำความผิดก็สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ไม่เกี่ยวกับหน้าตาหรือบุคคลิกภาพว่าจะเป็นอย่างไร ทางเจ้าหน้าที่ก็คงมองว่าเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป ซึ่งสามารถอยู่ในประเทศไทยได้ 30 วัน ตอนนี้ทางเรากำลังเร่งสืบสวนว่าเขาเข้ามาอย่างไร มากับใคร ส่วนประเด็นที่ว่าชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อมาเป็นขอทานนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตามถือว่าเป็นความผิด ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่ากระทำผิดจริงก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายก่อนผลักดันออกนอกประเทศไทยต่อไป

ที่มา: สำนักข่าวคาดเชือก
เว็บไซต์: https://kardchuek.net

ผู้นำเสนอข่าว

Hnoy

Written by:

3,638 Posts

View All Posts
Follow Me :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *