ชักยุ่ง ! ‘บิ๊กรอย’ไม่สมัครใจไปเป็นเลขาธิการ สมช.

10 ก.ย. 2566 – จากกรณีมีกระแสข่าวว่ามีการทาบทาม พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ดูแลงานด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นรอง ผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุดและเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ถูกคัดเลือกขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) คนหนึ่ง ให้โอนย้ายไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นตำแหน่งที่สูงขึ้นเทียบเท่าระดับ 11

อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พุทธศักราช 2565 มาตรา 33 บัญญัติว่าการโอนข้าราชการตำรวจไปรับราชการในส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่น จะกระทำได้เมื่อเจ้าตัวสมัครใจและส่วนราชการหรือหน่วยงานต้องการจะรับโอนผู้นั้น โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ขอรับโอน ทำความตกลงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้นการจะโอนย้าย พล.ต.อ.รอย ไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติจะต้องได้รับความสมัครใจจาก พล.ต.อ.รอย ด้วย

จากการสอบถามไปยังผู้ใกล้ชิด พล.ต.อ.รอย ยืนยันว่า พล.ต.อ.รอย ไม่สมัครใจที่จะโอนย้ายไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่อยากจะทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการที่ พล.ต.อ.รอย ไม่สมัครใจที่จะถูกโอนย้ายไปนอกหน่วยงานสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น จะมีผลทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีความลำบากใจในการเสนอชื่อของ ผบ.ตร.ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือน ก.ย. 2566 เพราะ พล.ต.อ.รอย มีอาวุโสสูงสุดอยู่ในลำดับแรก ซึ่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติมาตรา 78 ได้กำหนดเรื่องการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าให้คำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกันโดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปราม เสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ซึ่ง พล.ต.อ.รอย มีคุณสมบัติครบเครื่องที่สุดในจำนวน รอง ผบ.ตร.ที่มีสิทธิ์ 4 คน เนื่องจากอาวุโสสูงสุดและผ่านงานรอง ผบ.ตร.มาแล้วทุกสายงาน แต่มีกระแสข่าวมาโดยตลอดว่า รอง ผบ.ตร.ชื่ออื่นจะได้รับการเสนอขึ้นเป็น ผบ.ตร.ต่อจาก ‘บิ๊กเด่น’

นอกจากนั้นคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มาจากการเลือกตั้งจากอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่เป็นความหวังในการปกป้องระบบคุณธรรมให้กับข้าราชการตำรวจ หลายคนเห็นว่าควรคืนระบบคุณธรรมให้กับการแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ใช่เพียงระดับ รองผบ.ตร. ลงไป เท่านั้น แต่ควรรวมถึงการแต่งตั้งระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครั้งแรกตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ 2565 ที่ต้องคำนึงถึงเรื่องอาวุโสแม้จะไม่คำนึงถึงอาวุโสร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ความมีอาวุโสเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญตามกฏหมายที่ต้องให้พิจารณาประกอบกันกับความรู้ความสามารถด้วย ซึ่งหากพิจารณาตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวของ ก.ตร. จะเห็นว่าคุณสมบัติของ พล.ต.อ.รอย นั้นโดดเด่นที่สุดในการขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งข่าวการทาบทาม พล.ต.อ.รอย ข้ามห้วยไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาตินั้นจึงเชื่อได้ว่า ต้องการให้ผู้ที่มีคุณสมบัติสูงที่สุดออกไปหน่วยงานอื่นเพื่อที่จะหยิบรายชื่อรอง ผบ.ตร.ท่านอื่นเสนอขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

สำหรับตำแหน่งรอง ผบ.ตร. 4 คน ที่มีสิทธิ์ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. เรียงลำดับอาวุโสดังนี้

อันดับ 1. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ‘บิ๊กรอย’ รองผบ.ตร. อาวุโสลำดับที่ 1 เกิดวันที่ 6 ส.ค. 2507 จะเกษียณอายุราชการปี 2567 เป็นนักเรียนเตรียมทหาร(ตท.) รุ่น 24 นักเรียนนายร้อยตำรวจ(นรต.) รุ่น 40

อันดับ 2. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ‘บิ๊กโจ๊ก’ รอง ผบ.ตร. มีอาวุโสอยู่ในลำดับ 2 นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31 และ จบปริญญาตรีโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 47 เกษียณอายุราชการ ปี 2574 ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้เข้าชิงตำแหน่ง และเหลืออายุราชการมากที่สุด โดยจะเกษียณในปี 2574

อันดับ 3.พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ‘บิ๊กต่าย’ รอง ผบ.ตร. มีอาวุโสอยู่ในลำดับที่ 3 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 25 และปริญญาตรีจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ(นรต.) รุ่น 41 ครบวาระเกษียณอายุราชการ ในปี 2569

อันดับ 4.พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ รอง ผบ.ตร. อาวุโสในลำดับ 4 จบระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นสิงห์แดง รุ่นที่ 38 และปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม

อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากข่าวเรื่องการทาบทาม พล.ต.อ.รอย ให้โอนย้ายออกไปนอกหน่วยนั้น ยัง มีความพยายามปล่อยข่าวลือ ว่าจะทาบทามให้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.อาวุโสลำดับ 2 ให้โอนย้ายออกนอกหน่วยไปเป็นเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ปปส.) ด้วย.