กลุ่มผู้เสียหายรวมตัว ร้อง ปอศ. ถูกหลอกลงทุนเทรตหุ้น สูญเงินรวมกว่า 20 ล้านบาท ฉากหลังเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซ้ำหลอกคนไทยไปทำงาน บังคับทำยอดหลอกเงิน ใครไม่ได้ตามเป้าถูกขู่ขายอวัยวะ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 ม.ค. ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายธมะนันท์ แตงทิม หรือ”จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่” พา นายบุญชาย แซ่เอี้ยว อายุ 44 ปี อาชีพค้าขาย และ กลุ่มข้าราชการวัยเกษียณ อีกประมาณ 5-6 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พงศธร แก่นพุฒิ รอง ผกก.(สอบสวน)กก.3 บก.ปอศ. เพื่อเข้าร้องทุกข์หลังถูกหลอกผ่านเพจเฟซบุ๊กให้นำเงินมาร่วมลงทุนเทรตหุ้นจนสูญเงินรวมกว่า 20 ล้านบาท โดยนำหลักฐานการโอนเงินและข้อมูลการติดต่อ มามอบให้กับพนักงานสอบสวนประกอบการพิจารณา นายบุญชาย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้พบเห็นเพจเฟซบุ๊กหนึ่งโพสต์ชักชวนให้นำเงินมาร่วมลงทุนเทรตหุ้น อ้างผลตอบแทนสูง จึงเกิดความสนใจติดต่อไป จากนั้นก็ถูกดึงเข้ากลุ่มแอพพลิเคชั่นไลน์ ก่อนจะมีหน้าม้าเข้ามาคอยให้คำปรึกษาแนะนำ สอนวิธีการดูกราฟต่างๆ รวมไปถึงสาธิตการเข้าใช้แพลตฟอร์มหุ้นที่สร้างขึ้นมาให้ดูน่าเชื่อถือ พร้อมทำทีแนะนำให้ลงทุนหุ้นประเภทต่างๆ จึงหลงเชื่อลงทุนครั้งแรกเป็นเงินล้านกว่าบาท ประกอบกับเห็นว่ามีตัวเลขยอดเงินขึ้นในระบบแพลตฟอร์ม รวมถึงเห็นว่าได้เงินกำไรกลับมาจริง จึงลงทุนเพิ่มเรื่อยมารวมเป็นเงินกว่า 15 ล้านบาท แต่เมื่อถึงกำหนดจะถอนเงินลงทุนกลับคืน กลับไม่สามารถทำได้ ถูกบ่ายเบี่ยงอ้างติดปัญหาต่างๆ จึงเอะใจตรวจสอบจนทราบว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการกุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกเงินตน จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความในวันนี้ นายธมะนันท์ กล่าวว่า นอกจากผู้เสียหายรายนี้ ยังมีกลุ่มอดีตข้าราชการที่เกษียณอายุไปแล้วอีกหลายคน ตกเป็นเหยื่อถูกขบวนการดังกล่าวหลอกให้นำเงินมาร่วมลงทุนลักษณะเดียวกันจนสูญเงินอีกกว่า 5 ล้านบาท เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีการลงทุนอยู่จริง อีกทั้งในวันนี้เองตนยังได้พาพยานบุคคลที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ข้อมูล เพราะหากปล่อยไว้อาจมีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มอีกได้ในอนาคต ด้าน นายเอ (นามสมมุติ) พยานบุคคล เล่าว่า ก่อนหน้านี้อดีตแฟนสาวของตนเคยไปทำงานอยู่กับขบวนการดังกล่าว ซึ่งมีฐานที่ตั้งหรือสำนักงานอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน(กัมพูชา) พร้อมยืนยันว่า ธุรกิจการลงทุนหุ้นตามที่แก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้กล่าวอ้างนั้นไม่มีอยู่จริง แท้จริงแล้วเป็นเพียงกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเงินเหยื่อด้วยรูปแบบวิธีการต่างๆ “รวมถึงยังมีพฤติกรรมหลอกคนไทยไปทำงานบังคับให้เป็นคนโทรไปหลอกลวงเงินเหยื่อ หากใครทำยอดไม่ได้ตามเป้าจะถูกทำร้าย บ้างก็ขายต่อให้ขบวนการอื่นคล้ายกับทาส บางรายหนักถึงขั้นขายอวัยวะ ตนเห็นว่าข้อมูลที่ตนรู้น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคม จึงตัดสินใจออกมาเข้าพบตำรวจในวันนี้เพื่อจะได้เร่งกวาดล้างขบวนการดังกล่าวให้สิ้นซากต่อไป” พยานบุคคลกล่าวทิ้งท้าย เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ร้องและพยานทั้งหมด เพื่อนำไปประมวลเรื่องราวส่งต่อให้กับผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
ที่มา: สำนักข่าวคาดเชือก
เว็บไซต์: https://kardchuek.net