วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2509 กัปตันมูเนียร์ เรดฟา นักบินของกองทัพอากาศอิรัก ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ ที่จะทำการแปรพักตร์จากบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยการหันไปพึ่งพาโลกตะวันตกที่กำลังแผ่ขยายอำนาจ เพื่อครองแหล่งน้ำมันดิบ มูเนียร์ เรดฟา บินเครื่องบินไอพ่นขับไล่ สกัดกั้น MiG-21 ไปยังอิสราเอลอย่างลับๆ สองเดือนต่อมา พวกอิสราเอลที่เปรียบเหมือนอเมริกัน ได้ส่งเครื่องบินลำดังกล่าวให้แก่สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้น MiG-21 ของกองทัพอากาศอิรักก็ถูกเปลี่ยนสีใหม่ และเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น YF-110 เพื่อทำการบินเปรียบเทียบกับเครื่องบินรบของอเมริกัน การทดสอบเพื่อล้วงความลับของเครื่องบินขับไล่รัสเซีย ทำการบินอยู่เหนือพื้นที่ที่มีความลับสูงสุดอย่าง แอเรีย 51
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aiKTiACLl78yGtWH0D4yUDlG3y45AG.jpg)
กองทัพอากาศ/กองทัพเรือสหรัฐฯ ทำการบินทดสอบ MiG-21 ที่ถูกเปลี่ยนเป็น YF-110 มากถึง 102 เที่ยวบิน เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ สำหรับนำมาพัฒนาเครื่องบินขับไล่ของตนเอง ส่วนพื้นที่ 51 เป็นที่รู้กันดีว่า มักจะมีเรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาวอยู่บ่อยครั้ง การกุข่าวเรื่องเอเลี่ยน อาจเป็นการกลบเกลื่อนพื้นท่ีฝึกบิน ที่ถือเป็นความลับขั้นสูงของพวกอเมริกัน การขึ้นบินด้วยเครื่องบินของศัตรูอย่าง MiG-21 ทำให้นักวิจัยและพัฒนาอาวุธของฝ่ายอเมริกัน สามารถตรวจสอบและลอกเลี่ยนแบบเทคโนโลยีของเครื่องบินขับไล่หลังม่านเหล็กในยุคนั้นได้อย่างหมดเปลือก ที่ตลกก็คือ โซเวียตไม่รู้เลยว่า พวกอเมริกันที่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจ มีเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ล่าสุดของตนอยู่ในการครอบครอง อเมริกันเก็บมันไว้ในโรงเก็บเครื่องบินต้นแบบอย่างมิดชิด เพื่อลบเร้นสายตาสอดรู้สอดเห็นของสื่อมวลชน ยกเว้นตอนที่มันกำลังบินด้วยความเร็วสูง ผ่านเขตที่ถือเป็นความลับทางทหาร การใช้ MiG ของรัสเซีย มาทำการจำลองการต่อสู้เหนือท้องฟ้าในรัฐเนวาดา นำไปสู่โรงเรียนฝึกบินรบ Top Gun ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในแคลิฟอร์เนีย
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aiKTiACLl78yGtWGnJ5AaITJ6c75Tz.jpg)
มูเนียร์ เรดฟา นักบินผู้แปรพักตร์ และหันไปจงรักภักดีกับยิว ได้วางแผนการเพื่อบินหลบหนีออกมาจากแบกแดดนานแล้ว หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ลักลอบติดต่อกับ มูเนียร์ เรดฟา มาระยะหนึ่ง เนื่องจาก เรดฟา ไม่พอใจกับภารกิจทิ้งระเบิดชาวเคิร์ดของกองทัพอิรัก เขาเป็นคนคริสเตียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะปกตินักในกองทัพอิรัก ด้วยความไม่ไว้วางใจ พวกอิรักคอยจับตาดู มูเนียร์ เรดฟา อย่างใกล้ชิด แต่ในวันที่เขาตัดสินใจแปรพักตร์ ด้วยการโขมย MiG-21 เรดฟาก็สามารถลักลอบเติมน้ำมันเชื้อเพลิงจนเต็มถัง ด้วยเงินจำนวน 1 ล้านเหรียญ และการเดินทางที่ปลอดภัยของครอบครัวไปยังอิสราเอล มูเนียร์ เรดฟา จึงใช้โอกาสนี้ ขโมยเครื่องบินที่ถือเป็นความลับระดับสุดยอดของพวกหมีขาว เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความโกรธเคืองให้ผู้นำของโซเวียต/รัสเซีย ที่ MiG-21 ถูกขโมย และตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูตัวฉกาจอย่างอเมริกาโดยอิสราเอล ที่หนุนหลังโดยสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในช่วงเวลาแห่งสงครามเย็นนั้น แทบจะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของเครื่องบินรบ ที่ถูกผลิตเป็นจำนวนมากของสหภาพโซเวียต
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aiKTiACLl78yGtWHwX9OP0Xhj3qTVG.jpg)
ในห้วงเวลาดังกล่าว เครื่องบินจารกรรมความเร็วเหนือเสียง 3 เท่า Lockheed SR-71 Blackbird ของพวกอเมริกัน กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการบินปฏิบัติการตามภารกิจ ท่ีถูกกำหนดครั้งแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ.2511 ในพื้นที่หวงห้าม ทำให้มีคนน้อยมากที่รู้ว่า MiG-21 ได้รับการดูแลอย่างดีโดยสหรัฐอเมริกา พวกอเมริกันถอดเครื่องออกเป็นชิ้นๆ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสามารถ สมรรถนะ และประสิทธิภาพของเครื่องบินขับไล่รุ่นนี้ ในเวลานั้น MiG-21 ยังคงเป็นเครื่องบินรบล้ำสมัยของฝ่ายรัสเซีย ที่มีข้อมูลรั่วไหลออกมาน้อยมาก เป็นเครื่องบินที่ฝ่ายตะวันตกมองว่าเป็นภัยคุกคาม ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเครื่องบินจารกรรมความเร็วเหนือเสียงสามเท่า SR-71
![](https://static.thairath.co.th/media/PZnhTOtr5D3rd9oc9nEksYJB6vpE3xRUzE2ap876ymnJ6AD.jpg)
10 ปีต่อมา ก็เกิดเหตุการณ์แปรพักตร์ขึ้นอีกครั้ง เมื่อ MiG-25 บินจากรัสเซียด้วยระยะสูงที่ต่ำมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ จุดหมายปลายทางของ MiG-25 ลำนั้น ก็คือ เกาะญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยกองกำลังอเมริกัน นักบินรัสเซีย Viktor Belenko ที่ฝักใฝ่ฝ่ายตะวันตก สามารถบินเครื่องบินขับไล่ ที่ถือเป็นความลับระดับสุดยอดของพวกหมีขาว ข้ามไปยังญี่ปุ่นสำเร็จ กลายเป็นประโยชน์อย่างมากต่อพวกอเมริกันและพันธมิตร เหตุการณ์ขโมยเครื่องบินไปให้กับฝ่ายศัตรูเป็นครั้งที่สอง ทำให้พวกรัสเซียโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอีกครั้ง เมื่อพวกอเมริกันนำเครื่องมาตรวจสอบอย่างละเอียด ก็พบว่า MiG-25 นั้น ไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่มีข่าวแพร่สะพัดออกมา แต่สิ่งที่พวกอเมริกันยังทำไม่สำเร็จกับเครื่องบินรบของตนก็คือ สปีดความเร็วสูงสุด ที่ไม่อาจทำได้เท่ากับเครื่องบินรบ MiG-25
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aiKTiACLl78yGtWIGJOE7TAvaR8Biy.png)
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aiKTiACLl78yGtWH5dJV4gZvWCyl9n.jpg)
การบินทดสอบการรบทางอากาศ ระหว่างเครื่องบินขับไล่อเมริกัน F-105 กับเครื่องบินขับไล่ที่มีความคล่องตัวสูงอย่าง MiG-21 ทำให้อเมริกันได้เรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของ MiG-21 อย่างหมดเปลือก การล้วงตับหมีขาวในครั้งนั้น ก็เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการโจมตีเชิงรุกเฉพาะ ในกรณีที่มีความได้เปรียบ นักบินอเมริกันต่างหวาดกลัวเครื่องบินของรัสเซียมากจนเกินไป แต่ก็สมควรที่จะกลัว เพราะเครื่องบินขับไล่หลังม่านเหล็กเกือบทุกรุ่นเหนือชั้นด้านความคล่องแคล่ว ที่ฝ่ายอเมริกันเทียบไม่ติด นักบินอเมริกันใช้วิธีหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ามาเป็นเวลานานแล้ว การล้วงลึกจนเห็นจุดบอดของ MiG และมีการนำข้อมูลที่ได้ มาใช้การสนับสนุนหรือพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงหรือเหนือกว่า ทำให้อเมริกันเรียนรู้กลยุทธ์บินโจมตีแล้วโฉบหนีอย่างรวดเร็วของเครื่อง MiG-21 นักบินทดสอบของอเมริกันได้ทำการเร่งความเร็วของเครื่อง F-105 จนเกินขีดจำกัดความเร็วสุดสุด ที่ระยะสูงต่ำกว่า 15,000 ฟุต การเร่งความเร็วในระดับที่ตรงกับเครื่องบินศัตรูอย่าง MiG-21 ทำให้ F-105 สามารถเร่งความเร็วเหนือขีดจำกัด .98 Mach/595 นอต เร็วกว่า MiG-21 ส่วนเครื่อง MiG ก็มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนกว่า จากความสามารถในการเลี้ยวมุมแคบในทุกระดับความเร็วและระยะสูง ในทุกสภาพอากาศได้คล่องตัวมากกว่า F-105
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aiKTiACLl78yGtWHjdqUiUsave5yh7.jpg)
เพื่อความอยู่รอดของนักบินของกองทัพอากาศอเมริกัน เมื่อต้องบินสู้รบระยะประชิดกับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นที่มีความคล่องตัวสูง อย่างเครื่อง MiG นักบินอเมริกันที่บิน F-105 ต้องใช้การโฉบเข้าโจมตีด้วยความเร็วสูง แล้วชิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เข้าปะทะแบบซึ่งหน้า ทำให้เครื่อง F-105 ท่ีอุ้ยอ้ายกว่า ไม่ต้องเข้าต่อสู้ในระยะประชิด ที่อาจเกิดความพลิกผันจากความคล่องแคล่วของเครื่องบิน MiG เครื่องบินขับไล่ F-105 มีขีดความสามารถของขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ สูสีกับเครื่องรัสเซีย แต่ความสามารถของปืนที่ติดตั้งอยู่ในลำตัว อเมริกันทำได้เหนือกว่า ด้วยอัตราการยิงที่สูงกว่า และระบบเล็งปืนที่ดีกว่า เรดาร์และอุปกรณ์เตือนภัย APR-25 ของ F-105 ไม่มีศักยภาพมากพอ ที่จะแจ้งเตือนการโจมตีด้วยขีปนาวุธอากาศสู่อากาศของ MiG-21 เพื่อเพิ่มทางรอด เครื่อง F-105 ของพวกอเมริกัน จะต้องรักษาระยะสูงของเครื่องบินให้ต่ำกว่า 15,000 ฟุต เมื่อบินอยู่ในพื้นที่ของ MiG นักบินอเมริกันต้องหลีกเลี่ยงการสู้รบระยะประชิด โดยทำการบินเร็วกว่า 450 นอต นักบิน F-105 ไม่สามารถพึ่งพาอุปกรณ์ตรวจจับ APR-25 ในการแจ้งเตือนการโจมตีได้ โดยทำได้แค่กวาดสายตามองหาเครื่องบินของศัตรู แล้วก็เข้าจู่โจม
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aiKTiACLl78yGtWHcVC0E1nztHAMVN.jpg)
เนื่องจากความเร็วของเครื่อง F-105 หมายถึงชีวิตของนักบิน เมื่อต้องปะทะกับเครื่อง MiG-21 เครื่องบินขับไล่ของอเมริกัน ทำได้เหนือกว่าแค่ความเร็วระหว่างการบินในแนวเส้นตรงเท่านั้น MiG-21 มีประสิทธิภาพการหักเลี้ยวที่เหนือกว่า และทุกครั้งเมื่อเข้าปะทะกับ F-111 ที่ระยะสูงต่ำกว่า 15,000 ฟุต MiG-21 จะมีความเร่งในระดับที่เหนือกว่า จนถึงขีดจำกัดความเร็ว
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aiKTiACLl78yGtWGsEcBZfAUIqlUsd.jpg)
เครื่องบินขับไล่แบบ MiG-21 ผลิตและออกแบบโดยสำนักแผนแบบ มิโคยัน-กูเรวิชค์ (Mikoyan-Gurevich) ของสหภาพโซเวียต ทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498 องค์การนาโต กำหนดชื่อรหัสว่า ฟิชเบด (Fishbed) เป็นเครื่องบินขับไล่ไอพ่นความเร็วเหนือเสียง มีสมรรถนะและขีดความสามารถต่างๆ ใกล้เคียง หรือบางจุดที่เหนือกว่าเครื่องบินขับไล่แบบ F-5E ของกองทัพอากาศ โดยมีประจำการในกองทัพอากาศของประเทศอดีตสหภาพโซเวียต กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และกลุ่มประเทศสังคมนิยม.