พิษเศรษฐกิจป่วนคนไทยหนี้บานฉ่ำ ผลสำรวจพบครัวเรือนมีหนี้ 5.59 แสนบาทสูงสุดรอบ 15 ปี

พิษเศรษฐกิจป่วนคนไทยหนี้บานฉ่ำ ผลสำรวจพบครัวเรือนมีหนี้ 5.59 แสนบาทสูงสุดรอบ 15 ปี

ม.หอการค้าไทยเผยผลสำรวจพบคนไทยหนี้บาน เหตุรายได้ลด ของแพง เศรษฐกิจไม่ดี ใช้จ่ายเกินตัว เล่นพนัน ห้างจัดโปร ใช้ของเลียนแบบสังคมออนไลน์ ทำรายได้ไม่พอรายจ่าย เบี้ยวหนี้

นางอุมากมล สุนทรสุรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 66 ที่สำรวจประชาชน 1,300 ตัวอย่างทั่วประเทศ วันที่ 17-21 ก.ค.66 ว่า ผลสำรวจพบว่า ปี 66 ผู้ตอบมากถึง 99.8% มีหนี้สิน มีเพียง 0.2% ที่ตอบมีหนี้เพิ่มขึ้นจากปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด ที่ตอบว่ามีหนี้สินอยู่ที่ 88.1% และไม่มีหนี้อยู่ที่ 11.9% โดยมีหนี้สินรวม 559,408.70 บาทต่อครัวเรือน สูงสุดในรอบ 15 ปี นับจากปี 52 ที่มีหนี้สินรวม 143,476.32 บาทต่อครัวเรือน ขยายตัว 11.5% จากปี 65 ที่มีหนี้ 501,711.84 บาทต่อครัวเรือน ผ่อนชำระเดือนละ 16,742 บาท โดยผู้ตอบมากถึง 31.2% มีทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ นอกจากนี้ 54.7% ระบุมีหนี้เพิ่มมากกว่ารายได้ เพิ่มขึ้นจากปี 62 ที่ตอบเพียง 37% ส่วนในอนาคต ผู้ตอบ 60.4% คาดว่าหนี้จะเพิ่มมากกว่ารายได้ สูงกว่าปี 62 ที่ตอบเพียง 33.4%

สำหรับสาเหตุการก่อหนี้มาจากค่าครองชีพสูงขึ้น ซื้อสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ลงทุนเพิ่ม ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ผ่อนสินค้ามากเกินไป ขาดรายได้จากการถูกออกจากงาน เล่นพนัน รวมถึงขาดวินัยทางการเงิน ขาดความรู้ทางการเงิน เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายเกินไป สถาบันการเงินให้วงเงินสูงเกินไป การลอกเลียนแบบการบริโภคของคนในสังคมออนไลน์ มีการกระตุ้นการใช้จ่ายต่อเนื่อง เช่น จัดโปรโมชัน

ส่วนความสามารถในการชำระหนี้ มากกว่า 50% สามารถชำระหนี้ได้น้อยถึงปานกลาง และบางส่วนไม่สามารถชำระได้ โดยหนี้ส่วนบุคคล กลุ่มที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพนักงานเอกชน รับจ้างทั่วไป และรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ขณะที่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ผิดนัดชำระหนี้ และคาดว่าในอีก 6 เดือนถึง 1 ปีมีโอกาสที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้อีก เพราะรายได้ลดลง เศรษฐกิจไม่ดี ตกงาน มียอดชำระเพิ่ม ดอกเบี้ยสูงจนผ่อนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม 54.1% คาดว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า หนี้สินจะลดลง ส่วนอีก 23.8% เท่าเดิม, 15.7% เพิ่มขึ้น และ 6.4% ไม่มีหนี้เลย

สำหรับข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ได้แก่ หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, ให้ความรู้ในการบริหารหนี้ และการวางแผนใช้จ่าย, ฝึกอบรม เพิ่มทักษะวิชาชีพ, ให้ความรู้การใช้จ่ายอย่างพอเพียง, เพิ่มสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อย, สถาบันการเงินควรคัดกรองการปล่อยกู้ หรือจำกัดวงเงิน เป็นต้น

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนมีโอกาสสูงขึ้น และวงเงินก่อหนี้น่าจะพีกสุดในช่วงปี 67 ส่วนหนี้ครัวเรือนในปี 66 สูงสุดจากที่ทำการสำรวจมาในรอบ 15 ปี โดยมีผลพวงมาจากเศรษฐกิจไทยไม่ดี เพราะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการระบาดของโควิด ตั้งแต่ปี 62-63 ทำให้คนก่อหนี้มากขึ้น และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็นต่อให้มีการเลือกตั้ง ความแน่นอนทางเศรษฐกิจก็ยังไม่ชัด ทำให้คนคาดว่าต้องเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพสูง รายได้ต่ำไปจนถึงต้นปีหน้า

อย่างไรก็ดี ภาพรวมมองว่าแม้หนี้ครัวเรือนในปัจจุบันจะขึ้นไปแตะ 90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แต่แนวโน้มจีดีพีที่สูงขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว และครัวเรือนไม่ตั้งใจจะก่อหนี้มากขึ้น จึงมองว่าหนี้ครัวเรือนไม่ใช่ปัญหารุนแรงต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แต่เป็นปัญหาระดับบุคคล ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับสถาบันการเงิน กำลังเร่งแก้ไขอยู่ ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่ต้องเร่งฟื้นเศรษฐกิจโดยเร็ว เพื่อให้คนปลดหนี้ และมีโครงการพิเศษดูแลหนี้ประชาชน

สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองนั้น มองว่า ยิ่งจัดตั้งรัฐบาลช้าเท่าไรก็จะยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจมากเท่านั้น เพราะไม่มีนโยบายที่ชัดเจนจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการลงทุน ทำให้นักลงทุนชะลอลงทุน อีกทั้งยังไม่มีงบลงทุนก้อนใหม่ จากการยังไม่ได้จัดทำงบประมาณปี 67 รวมถึงจะมีปัญหาภัยแล้งเข้ามาซ้ำเติมเศรษฐกิจอีก หากเศรษฐกิจไม่ได้รับการกระตุ้น หรืองบประมาณถูกใช้ล่าช้าออกไปเป็นปลายไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวไปอีกนาน.

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/

ผู้นำเสนอข่าว

Hnoy

Written by:

3,587 Posts

View All Posts
Follow Me :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *