ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 14 ม.ค.66 ปิดที่ 1,681.73 จุด ลดลง 5.72 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 87,659.72 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 517.46 ล้านบาท
มีแรงขายทำกำไรหุ้น Big cap ที่ปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหุ้น DELTA กดดัชนีตลาดแม้จะมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องหนุน FED ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ให้เป้าหมายหุ้นไทย ไตรมาส 1/66 แกว่งในกรอบ 1,677-1,740 จุด ภายใต้สมมติฐาน Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.2% และ EPS ที่ 99.2 บาท/หุ้น รวมถึงคาดดอกเบี้ยปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.50-1.75% แต่หากขึ้นเกินระดับนี้ ต้องระวังแรงขายทำกำไร
แนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโต บน 3 ธีมการลงทุน ได้แก่ 1.หุ้นกลุ่ม Domestic Consumption โดยมีหุ้นเด่น STEC, COM7, GULF 2.ธีมจีนเปิดประเทศ หุ้นเด่น เช่น AOT, ERW 3.หุ้นจ่ายปันผลดี แนะนำ AP, ASK!!
โดยหุ้นไทยมี 4 ปัจจัยบวกหลัก ได้แก่ 1.ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 66 ที่จะเติบโตโดดเด่นกว่าเศรษฐกิจโลก คาดขยายตัว 3.8% มากกว่าเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวเพียง 2.6% ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้เร็วหลังจีนเปิดประเทศ 2.กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 66 คาด EPS โต 6% จากปีก่อนโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม non-energy ที่คาดเติบโตได้ถึง 11.7%
3.ทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้าจากค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพมากขึ้น หลังค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าตามดุลบัญชีเดินสะพัดและทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงขึ้น 4.ความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายรัฐ ช่วงใกล้ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งจากสถิติในอดีต ปี 44-62 พบว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน SET Index มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 3.9%
ส่วน 4 ปัจจัยเสี่ยงที่จำกัดการขึ้นของหุ้นไทย คือความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่เข้าสู่ภาวะ Recession สร้าง Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นภูมิภาครวมถึงหุ้นไทย, การขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.จะทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแคบลง, การเก็บภาษีขายหุ้น จะกระทบต่อทิศทางตลาดช่วงปรับสมดุลโดยเฉพาะช่วงก่อนเก็บภาษีจริง
สุดท้ายคือความผันผวนของราคาหุ้น DELTA ที่อาจกลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาดหลังปรับขึ้นตั้งแต่ พ.ย.65 ถึงปัจจุบัน 45% จนระดับ PER ปี 66 ขึ้นมาสูงถึง 64 เท่า ซึ่งทุกๆการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น DELTA ที่ระดับ 1% จะกระทบ SET Index ราว 0.85 จุด!!
อินเด็กซ์ 51