ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 8 ก.พ.66 ปิดที่ 1,670.34 จุด ลบ 10.15 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 60,522.85 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,973.07 ล้านบาท
หุ้นไทยร่วงแรงในช่วงบ่าย จากแรงขายในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กดดันตลาดนำโดย KCE หลังรายงานผลประกอบการ 4Q22 ออกมาแย่กว่าคาด
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KCE ปิด 50.50 บาท ลบ 6.50 บาท, DELTA ปิด 930 บาท ลบ 40 บาท, PTTEP ปิด 165 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, AOT ปิด 74 บาท บวก 0.50 บาท, SVR ปิด 2.50 บาท บวก 0.30 บาท
บล.เอเซียพลัส ระบุว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยดีขึ้นหลังจีนเปิดประเทศครบ 1 เดือน โดยพบว่าการเปลี่ยนแปลงในเดือน ม.ค.66 นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าไทยมากกว่า 9 หมื่นรายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ธ.ค.65 โดย ททท.ปรับเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเป็น 7-8 ล้านคน (เดิมคาด 5 ล้านคน) และ 1Q66 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยราว 3 แสนราย
ขณะที่ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั้งของไทยและจีนปรับตัวดีขึ้นเหนือระดับ 50 จุด (Demand ฟื้นตัว) ขณะที่โอกาสเกิด เศรษฐกิจถดถอยหลายประเทศปรับตัวลดลง เช่น จีน ยุโรป
ดังนั้น แนะกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นธีม China Play แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้ กลุ่มหุ้นได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวจีน M-OR-CRC-AOT-BEM-THANI-CENTEL-ERW
กลุ่มหุ้นส่งสินค้าออกไปจีน คือ หุ้น NER-CBG-KCE และกลุ่มปิโตรเคมี หุ้น SCGP-SCC-IRPC-TOP-PTTGC!!
ปิดท้าย บล.ทิสโก้ เลือกหุ้น CENTEL เป็นหุ้นเด่น มีมุมมองเชิงบวกผ่านการเติบโตของ RevPar ที่เป็นปัจจัยบวกในระยะสั้น และอุปสงค์จากจีนที่เพิ่มขึ้น ในอีกมุมหนี้สินที่ต่ำทำให้มีศักยภาพในการขยายกิจการได้อีกมาก และผลประกอบการ 1Q23 คาดดีขึ้นต่อจากช่วง 4Q22 นอกจากนี้ CENTEL มีแผนที่จะขยายธุรกิจอาหารใหม่อีก 5-6 แบรนด์ภายในช่วง 5 ปีข้างหน้า
อีกตัว หุ้น MINT คาด RevPAR ในช่วง 4Q22 จะดีขึ้น QoQ และเข้าใกล้ก่อนช่วงโควิดมากขึ้นทั้งจากการปรับราคาห้องพักและการฟื้นตัวของอัตราการเข้าพัก โดยได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ที่จะเปิดให้ใช้สิทธิได้ในวันที่ 7 มี.ค. และเริ่มเข้าพักได้ในระหว่างวันที่ 10 มี.ค. จนถึงวันที่ 30 เม.ย.66!!
ที่มา:ไทยรัฐ