นักโบราณคดีลงพื้นที่ตรวจสอบ หลังชาวบ้านพบโบราณสถานขนาดใหญ่ อายุ 900 ปีกลางทุ่งนา เป็นอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร และพบภาพสลักหินทรายที่มีความสมบูรณ์อย่างมาก เป็นพิธีกวนเกษียรสมุทรของเทพและมารชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา ทำบุญเบิกบ้านจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
นางสาวทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น พร้อมนักโบราณคดี ร่วมกันลงพื้นที่สำรวจโบราณสถานโนนพระแท่น บ้านหนองโก ม.3 ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อยจ.ขอนแก่น หลังจากที่มีชาวบ้าน ทำหนังสือขอให้ตรวจสิบ หินทรายและศิลาแลงกลางทุ่งนาบ้านหนองโก ซึ่งการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่นักโบราณคดีในครั้งนี้ มีนายช่วง วงษ์หาแก้ว อายุ 83 ปี เจ้าของที่นา และนายศรัญญู ภูเวียงแก้ว อายุ 54 ปี ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้าน พาเจ้าหน้าที่เดินทางมาตรวจสอบจุดศูนย์รวมของหินทรายและศิลาแลง ซึ่งอยู่กลางทุ่งนาทางด้านทิศใต้ของหมู่บ้าน
นายช่วง กล่าวว่า เกิดมาและจำความได้ก็เห็นหินเหล่านี้วางอยู่บริเวณเนินดินกลางทุ่งนาแล้ว จนกระทั่งบิดาเสียชีวิตตอนบิดาอายุ 100 ปี 4 เดือน ซึ่งตลอดช่วงที่บิดามีชีวิตนั้น บิดากับชาวบ้าน ก็นำหินที่พบในทุ่งนานำขึ้นมาเรียงกันไว้ ชาวบ้านก็นำดอกไม้ ธุปเทียนมากราบไหว้ และบนบาน ขอในสิ่วที่ปรารถนา ซึ่งสมหวังทุกคน จนกลายเป็นประเพณีประจำหมู่บ้าน โดยในทุกวันพุธแรกของเดือนเมษายน ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญ บวงสรวงและศักการะบูชา เพราะเป็นสถานที่ที่พบหินทรายและศิลาแลงจุดนี้ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคนหมู่บ้านตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
ลูกตนเคยมาบนและกราบไหว้ด้วยการนำพวงมาลัยมาถวายคู่ ขอให้การงานรุ่งเรือง ก็เจริญรุ่งเรืองจนทุกวันนี้และในช่วงสงกรานต์ทุกปี ก็จะมีการร่วมทำบุญเบิกบ้าน จุดบั้งไฟก่อนเริ่มลงมือทำนา กลายเป็นประเพณีของหมู่บ้านจนถึงทุกวันนี้ และการที่มีเจ้าหน้าที่นักโบราณคดี มาตรวจสอบก็เป็นการดี จะได้รู้ว่า หินที่พบในทุ่งนามาตั้งแต่100 กว่าปีนั้น เป็นหินศักดิ์สิทธิ์จริง จะได้ร่วมกันดูแลรักษาให้ลูกหลานได้ชมและได้รับความรู้
นายศรัญญู ภูเวียงแก้ว ผู้ใหญ่บ้าน กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ ก็เห็นสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชาวบ้านจะถือเอาวันพุธแรกเป็นวันบวงสรวง และมีการจุดบั้งไฟ ซึ่งสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ยุคบิดามารดามาจนปัจจุบัน
“ช่วงที่ตนยังไม่รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ก็เกิดปาฏิหาริย์ เพราะชาวบ้าน ช่วยกันย้ายนำหินไปไว้ข้างโรงเรียนเพื่อที่จะให้ชาวบ้านได้ศักการะในที่สาธารณะ ปรากฎว่าเมื่อย้ายหิน เจ้าของที่นาจุดที่พบหินก็ไม่สบายอย่างหนัก ทุกคนจึงคิดว่าน่าจะเกิดจากการย้ายหิน ออกจากจุดที่ตั้ง จึงย้ายกลับมา คนป่วยก็หายเป็นปกติ ยิ่งสร้างความเลื่อมใสศรัทธา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่มาจนปัจจุบัน ในสมัยพ่อแม่ ไม่มีใครแจ้งเจ้าหน้าที่ แต่ในยุคปัจจุบัน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ลูกหลานของคนในหมู่บ้านได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น มาตรวจสอบ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบและยืนยันว่า หินจากโบราณสถาน ชาวบ้านก็จะยิ่งเชื่อและศรัทธามากขึ้น และคงไม่มีการเคลื่อนนำไปไว้ที่อื่นเด็ดขาด ชาวบ้านเองจะร่วมกันดูแลรักษาไม่ให้สูญหาย ทั้งความสะอาดและสถานที่เป็นอย่างดี และเชื่อว่า ไม่มีใครกล้าเอาหินไปอย่างแน่นอน
ด้าน นางสาวทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น พร้อมเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจเช็คและวัดหินทรายที่มีทั้งหมด 16 ชิ้นแต่ละชิ้นยาวประมาณ 1.5ถึง 2 เมตร และตรวจวัดศิลาแลงที่มีอยู่ประมาณ 30 ชิ้น พร้อมทั้งแนะนำชาวบ้านและผู้นำชุมชนว่า ห้ามให้ปักธูปเทียน บนหินและศิลาแลงเด็ดขาด เพราะจะกระทบความสมบูรณ์ของหิน ให้ผู้นำแนะนำชาวบ้านท่ากราบไหว้และทำบุญว่า ให้วางสิ่งของหรือปักธูปเทียนในจุดอื่น ห้ามนั่งหรือเหยียบหินด้วยเช่นกัน
ที่มา:sanook