พรรคประชาชน แถลงห่วงสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยซบเซา แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงต่อเนื่อง ชงข้อเสนอทั้งระยะสั้น-ยาวเร่งฟื้นสถานการณ์ ขอรัฐบาลเร่งให้ความชัดเจนโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” หวังช่วยกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ชดเชยต่างชาติหดตัว
วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคประชาชน พร้อมด้วย นายเฉลิมพงศ์ แสงดี สส.ภูเก็ต เขต 2 พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าวกรณีปัญหาการท่องเที่ยวไทยซบเซา แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงต่อเนื่อง พร้อมกล่าวถึงข้อเสนอของพรรคประชาชน
นายณัฐพลระบุว่า เศรษฐกิจไทยด้านหนึ่งที่ชัดเจนว่ากำลังถดถอย ซบเซา และน่าเป็นห่วง ก็คือด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจสำคัญตัวหนึ่งของไทย โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ในเดือนมีนาคม 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยลดลงถึง 9% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง 3 เดือนติดต่อกัน (กุมภาพันธ์ – เมษายน 2568) แม้ว่ารัฐบาลเพิ่งจะมีการจัดงานมหาสงกรานต์ไป
ขณะเดียวกัน ในปี 2568 มีการเปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เข้าไทยมากที่สุด โดยส่วนที่ลดลงได้แก่ จีนลดลงถึง 30% มาเลเซียลดลง 4% เกาหลีใต้ลดลง 15% ส่วนที่เพิ่มขึ้นได้แก่ รัสเซียเพิ่มขึ้น 14% อินเดียเพิ่มขึ้น 16% โดยนักท่องเที่ยวในหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ ลดลง 7.91% เชียงใหม่ลดลง 2.76% ภูเก็ตลดลง 3.50% และสงขลาลดลง 14.33%
สาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยน้อยลง เกิดจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ และอีกความเสี่ยงหนึ่งที่น่ากังวลว่าจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวในไม่ช้าก็คือความไม่แน่นอนในนโยบายทางภาษีของสหรัฐฯ แน่นอนว่า ณ ขณะนี้จีนเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าหนักที่สุด ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ว่าจีนจะเน้นจีนเองให้รอดก่อน และอาจนำไปสู่การไม่ปล่อยคนจีนให้ออกนอกประเทศเลยก็เป็นได้ ในขณะที่ประเทศอื่นผู้คนก็จะระมัดระวังการใช้เงินมากขึ้น นโยบายของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบแบบลูกโซ่ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายไม่ได้ ไม่ว่าใครชาติไหนก็อาจไม่มีเงินไปเที่ยว
นายณัฐพลกล่าวต่อไปว่า ความท้าทายของการท่องเที่ยวไทยในขณะนี้จะหนักหน่วงยิ่งขึ้นหากรัฐบาลไม่เตรียมรับมือ และแม้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความพยายามที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นนโยบายฟรีวีซ่า การพยายามยกระดับงานเทศกาลไทยให้เป็นงานระดับโลก แต่กลับไม่สามารถดึงนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เข้ามาในประเทศได้เพิ่มขึ้น และที่จะสร้าง Man-Made Destinations ก็มีเพียงเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งต่อให้ผ่านในสมัยประชุมหน้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดได้ทันที
ส่วนปัญหาภายในที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างการปราบปรามกลุ่มจีนเทาก็ทำได้สายเกินไปจนภาพลักษณ์ของไทยเสียไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่มีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาอื่นๆ เช่น มาตรฐานและความปลอดภัย การจัดระเบียบ การกำกับผู้ประกอบการ การจัดการกับนักท่องเที่ยวที่ไม่เคารพกฎหมาย รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่น ส่วนที่รัฐบาลประกาศว่าจะมีโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน 2568” ช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ที่รัฐบาลจะจ่ายครึ่งหนึ่งให้คนไทยเที่ยว วันนี้เข้าสู่เดือนพฤษภาคมแล้วก็ยังไม่รู้ว่าต้องลงทะเบียนที่ไหน ใช้สิทธิอย่างไร ผู้ประกอบการจะเข้าร่วมอย่างไร มีกี่สิทธิ และรัฐบาลเตรียมงบประมาณไว้หรือยัง

นายณัฐพลกล่าวต่อไปว่า ดังนั้น พรรคประชาชนจึงมีข้อเสนอทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้น ต้องมีการหานักท่องเที่ยวต่างชาติมาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป รัฐบาลต้องเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่น พยายามทำตลาดกับกลุ่มประเทศเหล่านี้ให้กลายเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ของไทยมากขึ้น โครงการเราเที่ยวด้วยกันที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในก็ต้องมีความชัดเจนว่าจะใช้งบประมาณเท่าไรและใช้ได้กี่สิทธิ เพื่อชดเชยรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปได้อย่างเหมาะสม และประคับประคองผู้ประกอบการได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาสร้างปัญหาในประเทศไทย โดยทบทวนมาตรการฟรีวีซ่าและวีซ่าฟรี โดยเบื้องต้นอาจลดจำนวนวันที่อนุญาตให้อยู่ในไทยได้ลงก่อน และควรเร่งประชาสัมพันธ์และบังคับให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกรอก Thai Digital Arrival Card (TDAC) หรือใบ ตม.6 ออนไลน์ ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้เริ่มนำมาใช้แล้วในเดือนนี้ รวมถึงยังควรปรับโทนการประชาสัมพันธ์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จาก “ประเทศไทยน่าเที่ยว” เป็น “ประเทศไทยปลอดภัยสำหรับทุกคน” เพื่อคลายข้อกังวลจากกระแสข่าวเชิงลบ โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน
ส่วนข้อเสนอระยะยาว รัฐบาลควรแก้ปัญหาภายในอื่นๆ เช่น ความปลอดภัย มาตรฐาน ความสะดวก ความสะอาด ความเป็นธรรม จัดการกับธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมาย ทลายกลุ่มอาชญากรรม รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบของการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่การสร้างหรือขยายสนามบิน
นอกจากนี้ควรมีการลงทุนพัฒนาจุดหมายปลายทางที่เป็น Nature-made หรือ Cultural-made Destinations ด้วย เช่น อุทยานแห่งชาติหรือแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา รวมถึงโบราณสถานหรือชุมชนที่มีวัฒนธรรม เรื่องราว และประวัติศาสตร์ ที่สามารถหยิบจับมาพัฒนาเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ได้ และควรมีการส่งเสริมเมืองรองที่มากกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ควรจะต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน น้ำ ไฟฟ้า ขนส่งสาธารณะ กระจายความเจริญออกไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งคนในพื้นที่และดึงดูดให้คนอยากไปเที่ยวมากขึ้น
นายณัฐพลกล่าวต่อไปว่า พรรคประชาชนหวังว่ารัฐบาลจะเร่งรับมือกับความเสี่ยงที่จะทำให้การท่องเที่ยวไทยเสียหายไปมากกว่านี้ หากไม่เตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือเจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการ พนักงานลูกจ้าง รวมถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องก็จะยิ่งทรุดไปมากกว่านี้ ปากท้องประชาชนจะมีปัญหามากกว่านี้ และเศรษฐกิจไทยก็จะแย่ไปมากกว่านี้

ทางด้านนายเฉลิมพงศ์กล่าวถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตว่า แม้ในภาพรวมตัวเลขนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวของภูเก็ตในไตรมาสแรกปี 2568 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 3.8 ล้านคน และสร้างรายได้รวม 149,000 ล้านบาท แต่ในเชิงคุณภาพและความยั่งยืนยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น การที่ผู้ประกอบการรายย่อยมีต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งจากค่าแรง ค่าวัตถุดิบ และค่าไฟฟ้า ขณะที่รายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สอดคล้องกัน อีกทั้งความแออัดของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การจราจรและระบบขนส่งสาธารณะก็ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หากไม่เร่งแก้ไข ความสามารถในการแข่งขันระยะยาวอาจถดถอยลงอย่างน่าเป็นห่วง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกที่เป็นแรงกดดันต่อภาคท่องเที่ยวของภูเก็ต โดยเฉพาะราคาตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง ค่าเงินบาทที่แข็งเมื่อเทียบกับหลายสกุลเงิน ทำให้นักท่องเที่ยวต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นในการมาเที่ยวประเทศไทย ขณะเดียวกันประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและมาเลเซียเดินหน้าเชิงรุกทั้งในด้านการตลาด การลดต้นทุน และการปรับนโยบายให้ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเวียดนามที่ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 23 ล้านคนภายในปีนี้ เมื่อเทียบกับแนวโน้มของภูเก็ตที่เริ่มกลายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวคุณภาพต่ำ
นายเฉลิมพงศ์กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกันนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาก็ได้ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในการค้าระหว่างประเทศ ที่อาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ต้นทุนสินค้านำเข้า และภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักจากตะวันตก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของภูเก็ต อย่างไรก็ตาม นโยบายภายในประเทศก็เป็นปัจจัยที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะนโยบายฟรีวีซ่าที่รัฐบาลผลักดันเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว แม้จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในระยะสั้น แต่ในภูเก็ตกลับพบว่ามีผลกระทบด้านลบมากกว่า ทั้งในด้านคุณภาพของนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อต่ำ มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไปจนถึงบางส่วนลักลอบประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น เปิดร้านอาหารหรือธุรกิจบริการต่างๆ โดยใช้คนไทยเป็นนอมินี ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการในท้องถิ่นและภาพลักษณ์ของภูเก็ตในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก
ที่มา ไทยรัฐ