ขู่ลอยแพ 7,141 ชีวิต แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตกค้าง “หม่อง ชิตตู่” วอนไทยประสานรับตัว 28 ชาติ

ขู่ลอยแพ 7,141 ชีวิต แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตกค้าง “หม่อง ชิตตู่” วอนไทยประสานรับตัว 28 ชาติ

โฆษกกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF นำนักข่าวไปดูการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และช่วยเหยื่อค้ามนุษย์จากเมืองชเวโก๊กโก่ เมืองเมียวดี และเมือง เคเคปาร์คอีก 7,141 คน รวม 28 สัญชาติ เร่งประสานสถานทูตชาติต่างๆมารับตัว อ้างแบกภาระเลี้ยงไม่ไหวและจะพักการปราบปรามชั่วคราว พร้อมขู่อย่าปล่อยไว้นานเพราะคุมไม่ได้ อาจลอยแพและมีคนหนีข้ามแดนมาฝั่งไทย “โรม” จี้รัฐเร่งแก้ปมทุนจีนกว้านซื้อคอนโดฯปล่อยเช่าแข่งโรงแรมไทย แนะล้อมคอกคลอดมาตรการโครงการใหม่

ความคืบหน้าการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 26 ก.พ. ว่า กองกำลัง BGF ได้รวบรวมแก๊งคอลฯชาวจีนและกลุ่มคนที่ไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับเหยื่อการค้ามนุษย์ ในฝั่งเมียนมา มาได้อีกกว่า 7,000 คน นำตัวไปไว้ที่ศูนย์พักพิง ในเมืองเมียวดี รอสถานทูตชาติต่างๆมารับตัวกลับ พ.อ.หม่องชิต ตู่ ยังได้เรียกร้องมายังรัฐบาลไทยและประเทศต้นทางของเหยื่อการค้ามนุษย์ ให้รีบมารับตัวเนื่องจากแบกรับภาระการดูแลไม่ไหว โดยมีรายงานว่า หากฝั่งไทยไม่รับกลุ่มคนเหล่านี้ข้ามแดนกลับมาและสถานทูตประเทศต่างๆของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ยังไม่มารับตัวกลับ อาจเกิดปัญหากับประเทศไทย โดยอาจมีการลอยแพกลุ่มคนทั้งหมดและหนีข้ามช่องทางธรรมชาติที่มีกว่า 30 ช่องทางมาฝั่งไทย ด้วยระยะทางเพียงเดินข้ามฝั่งแม่น้ำเมยที่กั้นเขตแดนไทย-เมียนมา ฝั่ง อ.แม่สอด ไม่ถึง 20 เมตร

สำหรับชาวต่างชาติที่กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF กวาดล้างรวบรวมมาได้จากเมืองเมียวดีและเมืองเคเคปาร์คและส่งข้อมูลให้หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร (ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร) มีจำนวนทั้งสิ้น 7,141 คน เป็นชาย 6,716 คน หญิง 425 คน จำนวน 28 สัญชาติ 29 ประเทศ (1 คน ไม่มีสัญชาติ) แยกเป็น 1.จีน 4,860 คน 2.เวียดนาม 572 คน 3.อินเดีย 526 คน 4.เอธิโอเปีย 430 คน 5. อินโดนีเซีย 283 คน 7.ฟิลิปปินส์ 127 คน 8.มาเลเซีย 70 คน 9.ปากีสถาน 78 คน 10.เคนยา 64 คน 11.ไต้หวัน 25 คน 12.เนปาล 17 คน 13.แอฟริกาใต้ 17 คน 14.ยูกันดา 13 คน 15.แอฟริกา 9 คน 16.ศรีลังกา 8 คน 17.อุซเบกิสถาน 8 คน 18.ไนจีเรีย 7 คน 19.กานา 6 คน 20.แคเมอรูน 6 คน 21.บังกลาเทศ 6 คน 22.นามีเบีย 4 คน 23.รวันดา 4 คน 24.ตูนิเซีย 3 คน 25.เช็ก 2 คน 26.ลาว 1 คน 27.โรมาเนีย 1 คน 28.แอลจีเรีย 1 คน และ 29.สิงคโปร์ 1 คน

ตอนสายวันเดียวกัน พ.ท.หน่าย หม่อง โซ รองผู้บังคับกองพันกองพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF โฆษกกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF นำคณะสื่อมวลชนทั้งไทยและเมียนมาไปติดตามการช่วยเหลือชาวต่างชาติ 7,141 คน ที่จับกุมมาได้จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแยกควบคุมตัวไว้ในเมืองตงเหมย เมืองเคเคปาร์ค กับที่สนามบอลและที่สถานที่ปฏิบัติการกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF โดยนำมาพักอาศัยรวมกันในตึกแบ่งเป็นชั้น ชั้นละหลายร้อยคน โดยชายชาวจีนถูกนำมาให้อยู่รวมกันในห้องโถงใหญ่ ส่วนผู้หญิงอยู่รวมกันอย่างแออัดในห้องเล็ก

พ.ท.หน่าย หม่อง โซ กล่าวว่า กองกำลังฯ BGF จัดที่พักให้เหยื่อทั้งหมดพร้อมดูแลเรื่องอาหารการกินวันละ 3 มื้อและมีน้ำดื่ม แต่เนื่องจากสภาพที่อยู่แออัด ไม่มีใครรู้อนาคตว่าจะได้กลับวันไหนตอนไหน ทำให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนพากันสอบถามมาว่าจะได้เดินทางกลับประเทศเมื่อใด เรื่องการส่งตัวไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศว่าจะมารับคนของเขากลับเมื่อใด กองกำลังฯ BGF ทำได้เพียงดูแลให้ดีที่สุดระหว่างการประสานงาน เดิมคาดว่าจะส่งตัวได้วันละ 200-300 คน แต่จากที่เป็นอยู่นอกจากจีนแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆอีกที่ทำให้ล่าช้า จึงเกรงว่าหากสถานการณ์ต้องใช้เวลาหลายเดือนอาจจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ เป็นห่วงว่าคนเหล่านี้จะหลบหนี เนื่องจาก 2-3 วันก่อน มีหลายคนพยายามหลบหนี จึงอยากเรียกร้องให้ทุกประเทศเร่งดำเนินการ ระหว่างนี้ BGF ต้องยุติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชั่วคราว จนกว่าจะมีการส่งคนชุดนี้กลับหมด ถึงจะเริ่มออกปราบปรามใหม่ ทั้งนี้ BGF ได้วางมาตรการป้องกันไม่ให้ชาวจีนกลับมาในพื้นที่เหล่านี้อีก คาดว่ายังมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลงเหลืออีกไม่มาก

อีกด้าน พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 สั่งการให้ พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1 พร้อมตำรวจสืบสวนภาค 1 ตำรวจ ตม.1 ตำรวจ สน.เตาปูน ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน นำหมายค้นศาลอาญาเข้าตรวจค้น ห้องเลขที่ 312 ชั้น 12 รีเจน โฮม ซอยกรุงเทพ-นนท์ 28 แขวง-เขตบางซื่อ กทม. หลังสืบทราบว่าห้องดังกล่าวมีเครื่องซิมบ็อกซ์ติดตั้งไว้หลอกเหยื่อ จากการตรวจค้นในห้องพบเครื่องซิมบ็อกซ์ 3 เครื่องโดย 1 เครื่องใส่ซิมได้ 32 ซิม กล้องวงจรปิด 1 ตัว สำหรับการค้นห้องพักแห่งนี้ เนื่องจากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกว่ามีส่วนพัวพันคดีการฟอกเงินให้โอนเงินไปตรวจสอบ ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไป 180,000 บาท ต่อมาตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานีสืบทราบว่าอุปกรณ์ที่ใช้หลอกเหยื่ออยู่ที่ห้องในคอนโดแห่งนี้ จึงประสานมายังตำรวจสืบสวนภาค 1 นำหมายค้นเข้าตรวจสอบยึดอุปกรณ์ได้ทั้งหมด ส่วนเจ้าของห้องเป็นชาวจีนใช้คนไทยเป็นนอมินีมาซื้อไว้ก่อนจะมีคนนำอุปกรณ์มาติดตั้งไว้หลอกเหยื่อได้ประมาณ 3 เดือน

ที่รัฐสภาเวลา 09.00 น. นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีกลุ่มทุนจีนเข้ามาเช่าซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรในประเทศไทยแล้วปล่อยเช่ารายวัน รายสัปดาห์ ในลักษณะหลบเลี่ยงการเสียภาษี กระทบต่อผู้ประกอบการ ธุรกิจโรงแรมที่พักในไทย ว่าได้รับการร้องเรียนมามากมีทั้งคอนโดและบ้านจัดสรร โดยร้องเรียนว่าโครงการของบางบริษัทมีถึง 80% ที่เป็นของคนจีน ยังไม่อยากสรุปว่าพวกเขาเป็นจีนเทาหรือไม่ แต่สภาพการแบบนี้ต้องยอมรับว่ามีความท้าทายใหม่ อาจจะผิดหรือไม่ผิดกฎหมาย แต่นำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยด้านอื่น เช่น นักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย เขาอาจจะไม่ต้องแคร์เพื่อนบ้าน แต่คนที่อยู่ข้างๆจะรู้สึกอย่างไร ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่ปล่อยให้ดูแลกันเอง ไม่เอ่ยชื่อบริษัท แต่บรรดาโครงการพวกนี้ มีอยู่ไม่กี่เจ้า บางบริษัทเขาตั้งเป้าหาลูกค้าจากต่างประเทศเป็นการเฉพาะ ทำให้มีแนวโน้มหรือโอกาสให้ไปเช่าต่อ หรือทำเป็นธุรกิจโรงแรม

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำมี 2 ข้อ 1.คือโครงการที่จะขายต่อไปควรจะคุยกับบริษัทเหล่านี้ว่าจะมีมาตรการอย่างไร แทนที่จะจัดการปลายน้ำควรเริ่มจัดการที่ต้นน้ำว่า จะมีวิธีการคัดกรองหรือไม่ ถ้ามีกฎหมายที่ต้องแก้ก็จะได้แก้หรือปรับปรุง หรือถ้ามีกฎระเบียบกระทรวงอะไรที่ต้องทำ จะได้ทำกันอย่างเนิ่นๆ 2.ส่วนที่ขายห้อง ขายบ้านไปแล้วและมีสภาพการปล่อยเช่าให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ต้องบังคับใช้ตามกฎหมาย เรื่องนี้ต้องดำเนินการ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าคอนโดฯที่พักอาศัยกลับมีสถานะไม่ต่างจากโรงแรม

ส่วนความคืบหน้าการออกหมายจับ พ.อ.หม่องชิต ตู่ กับพวก ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 นั้น วันเดียวกัน ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ดีเอสไอได้หารือประเด็นนี้กับพนักงานอัยการมาตลอด ฝ่ายพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่าพยานหลักฐานมีตามสมควรเพียงพอที่จะนำตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการได้ ผอ.กองคดีค้ามนุษย์ดีเอสไอ ได้เสนอเรื่องส่งพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงเพิ่มเติมมาแล้ว เพื่อมีหนังสือไปยังอัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 ตามขั้นตอนกฎหมายจะเสนอ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ลงนามเอกสาร เพื่อส่งอัยการพิเศษ พิจารณาพยานหลักฐานขอให้มีการออกหมายจับ จากนั้นต้องรออัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 พิจารณาในส่วนพนักงานอัยการว่า ครบถ้วนหรือต้องดำเนินการเพิ่มเติมในประเด็นใดอีกหรือไม่ นอกจากที่ได้หารือกันไว้แล้ว หากไม่มีอะไรเพิ่มเติมหรือเห็นชอบร่วมกัน ตามข้อเสนอของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ทางปฏิบัติพนักงานอัยการจะมีหนังสือแจ้งว่า เห็นชอบเพื่อตอบกลับมายังดีเอสไอ ส่วนระยะเวลาเชื่อว่าไม่น่าจะนานมากเพราะมีการพูดคุยกันหลายครั้งแล้ว

ร.ต.อ.สุรวุฒิกล่าวอีกว่า ตามกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 20 ถ้าความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทยให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทน เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือจะมอบหมายหน้าที่นั้นให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนแทนก็ได้ การรวบรวมพยาน หลักฐานต่างๆให้พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 ต้องร่วมพิจารณาและมีความเห็นร่วมกัน โดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะต้องฟังคำแนะนำของพนักงานอัยการเป็นหลัก เพราะถือว่าพนักงานอัยการเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ แต่มอบดีเอสไอทำแทน หากเมื่อเห็นชอบร่วมกันแล้วพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะเร่งดำเนินการขอศาลออกหมายจับได้ทันที

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/

ผู้นำเสนอข่าว

Hnoy

Written by:

4,071 Posts

View All Posts
Follow Me :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *