“เอก” ชี้ “โจ๊ก” หมดสิทธิชิง ผบ.ตร. ย้ำอำนาจสั่งให้ออกอยู่ที่ กก.วินัย

“เอก” ชี้ “โจ๊ก” หมดสิทธิชิง ผบ.ตร. ย้ำอำนาจสั่งให้ออกอยู่ที่ กก.วินัย

“เอก อังสนานนท์” เผย อำนาจสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการจริง อยู่ที่กรรมการวินัยร้ายแรง ยัน “รองโจ๊ก” หมดสิทธิลุ้นชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 15 เพราะกระบวนการพิจารณาจะต้องใช้ระยะเวลา 2-3 เดือน

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.67 พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ และอดีตรอง ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์มติ ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัยว่า คําสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้ นายกฯ ต้องยื่นทูลเกล้าฯ หรือไม่ พล.ต.อ.เอก ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเอาผลการพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร. เรียนให้ทางนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตามกฎหมายกำหนดไว้ว่ากรณีที่มีคำสั่งให้ข้าราชการระดับ รอง ผบ.ตร. ขึ้นไป พ้นจากราชการ ตามกฎหมายที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาตรา 140 ว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องนำความกราบบังคมทูล เพื่อให้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งขั้นตอนต่อไปนายกฯ ก็ต้องทำเช่นนั้น ส่วนจะใช้ระยะเวลาในการกราบบังคมทูลเท่าไรนั้น ตามกฎหมายไม่ได้มีการกำหนดกรอบระยะเวลาไว้

ส่วนสถานะของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ทางกฎหมายได้บัญญัติไว้ในมาตรา 133 (4) หากมีกระบวนการในเรื่องของการทำให้พ้นจากตำแหน่งเสร็จสมบูรณ์โดยการกราบบังคมทูล ก็ถือว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. และไม่ได้มีสถานะเป็นข้าราชการตำรวจ ถ้าหากว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่มีสถานะเป็น รอง ผบ.ตร. ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแคนดิเดตในการที่นายกรัฐมนตรีจะเสนอชื่อแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. วาระการแต่งตั้ง วันที่ 2 เดือนตุลาคมของปีนี้

เมื่อถามว่าในอนาคตเส้นทางของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หากยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดแล้วกลับเข้ารับราชการตํารวจได้อีกหรือไม่ พล.ต.อ.เอก ระบุว่า เมื่อ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไปยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุดแล้ว ณ เวลานี้ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีการเสร็จสิ้นจากทางศาลปกครองสูงสุดเมื่อไหร่ หากสมมติว่าเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 1 ปี แล้วมีคำวินิจฉัยเป็นคุณต่อ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ต้องมีการแจ้งยกเลิกคำสั่งให้ออกจากราชการ โดยพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะได้กลับมาเป็น รอง ผบ.ตร. และมีผลย้อนไปตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567 ยังมีเรื่องคณะกรรมการสอบสวนวินัยที่ต้องติดตาม หากสอบสวนแล้วได้ผลว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กระทำความผิดจริง ผู้บังคับบัญชาจะต้องมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชจริงทันที แต่หากสอบสวนแล้วว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่ผิดก็ต้องสั่งยุติคำสั่งก่อนหน้านี้ และเรียก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กลับเข้ามารับราชการ ซึ่งคำสั่งที่ออกจากราชการไว้ก่อน ที่มีการสู้กันในศาลปกครองชั้นสูงสุดจะถือว่าจบสิ้นทันที และไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะคำตัดสินจริงๆ ที่จะให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการ คือการสอบสวนจากวินัย หากคำสั่งของคณะกรรมการสอบสวนวินัยที่อยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวน มีคำสั่งว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ผิดวินัยจริง นั่นหมายความว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะต้องออกจากราชการเลย จากนั้น พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็จะต้องไปร้องอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. อีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง ก.พ.ค.ตร. ก็ต้องพิจารณา และหากวินิจฉัยว่าไม่เป็นคุณต่อ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ทาง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะต้องใช้สิทธิฟ้องศาลปกครองสูงสุด โดยเป็นเรื่องของการใช้สิทธิในการต่อสู้คำสั่งที่ให้ออกจากราชการจริง ส่วนตอนนี้ที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการนั้น คือคำสั่งให้ออกจากราชการชั่วคราว

เมื่อถามว่าหากคณะกรรมการสอบสวนวินัยสอบสวนเสร็จ ทาง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ อาจจะมีโอกาสชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. หรือไม่ พล.ต.อ.เอก ระบุว่า กระบวนการพิจารณาจะต้องใช้ระยะเวลา 2-3 เดือน แน่นอนว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ อาจจะไม่ทันได้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ปีนี้ แต่เรื่องหลักอยู่ที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยที่กำลังดำเนินการ

ความคืบหน้าที่ตนเองทราบ ล่าสุดทางคณะกรรมการสอบสวนวินัยจะเรียก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ รับทราบข้อกล่าวหา พอรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว กระบวนการอย่างอื่นก็ไม่น่าจะมีอะไร หลังจากสอบปากคำทาง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เสร็จสิ้น ก็มีการสรุปผลการสอบสวนพิจารณาทางด้านวินัย จากนั้นก็จะทราบผลว่าทาง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะได้อยู่ในราชการอีกหรือไม่.

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/

ผู้นำเสนอข่าว

Hnoy

Written by:

3,495 Posts

View All Posts
Follow Me :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *