“โจ ไบเดน” สั่งขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนหลายรายการ รวมถึงรถอีวี ที่จะขึ้นกว่า 100%

“โจ ไบเดน” สั่งขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนหลายรายการ รวมถึงรถอีวี ที่จะขึ้นกว่า 100%

ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีครั้งใหญ่ สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนหลายรายการ รวมถึงแบตเตอรี่สำหรับรถอีวี ชิปคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ซึ่งอาจเป็นประเด็นร้อนที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากับจีน เพื่อเอาใจฐานเสียงในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดี

14 พ.ค. 2567 สำนักข่าวเอพี รายงานว่า นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าหลายรายการจากจีน ซึ่งรวมไปถึงเหล็ก และอะลูมิเนียม เซมิคอนดักเตอร์ รถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า หรือรถอีวี สินแร่ที่มีความสำคัญ แผงพลังงานแสงอาทิตย์ รถเครน ชิปคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ คิดเป็นมูลค่ารวม 18,000 ล้านดอลลาร์

ทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ จะยังคงอัตราภาษีนำเข้าจากจีนที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เคยประกาศเอาไว้ แต่จะปรับภาษีนำเข้าสำหรับรถอีวีขึ้น 4 เท่า ถึงระดับมากกว่า 100% และเพิ่มภาษีนำเข้าของเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นเป็น 50% โดยระบุว่า มาตรการนี้มีขึ้นเพื่อปกป้องคนงานและธุรกิจชาวอเมริกันที่เผชิญกับแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน ซึ่งรวมถึงการที่จีนปล่อยสินค้าราคาต่ำเกินทะลักเข้าสู่ตลาดโลก

ทางด้าน นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่า จีนให้คำมั่นว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยวเมื่อเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของสหรัฐฯ และเตือนว่าอุปสรรคทางการค้าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่า การประกาศปรับขึ้นภาษีครั้งใหม่ของสหรัฐฯ นี้ จะทำให้อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนจะเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 100% และเมื่อบวกกับภาษีเพิ่มเติม 2.5% ที่เก็บจากรถยนต์ทุกประเภทที่นำเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ จะทำให้การจัดเก็บภาษีรวมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของจีนสูงถึง 102.5%

ขณะที่จีนมองว่า การประกาศปรับขึ้นภาษีครั้งใหม่นี้อาจเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากตอนนี้คณะบริหารภายใต้การนำของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพยายามทำทีว่าเข้มงวดกับจีน ขณะที่การห้ำหั่นในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนเป็นมูลค่าถึง 427,000 ล้านดอลลาร์ แต่ส่งออกไปจีนเป็นมูลค่า 148,000 ล้านดอลลาร์ โดยภาวะขาดดุลการค้านี้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว และเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ.

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/

ผู้นำเสนอข่าว

Hnoy

Written by:

3,490 Posts

View All Posts
Follow Me :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *