สว.สมชาย โพสต์เรื่องคดีถือหุ้นสื่อ เทียบเคียง “ไอทีวี” ชี้ชัด “พิธา” เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊ก เสนอความเห็นส่วนตัวกรณีทำไมหุ้นบมจ.ไอทีวี (ITV) ยังเป็นหุ้นสื่อและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล อาจขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม โดยยึดแนวทางคำวิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แนวทางคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนี้
- ITV ยังเป็นสื่อมวลชน โดยมีสถานะความเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีวัตถุประสงค์จดแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเกี่ยวกับสื่อรวม 5 ข้อ เช่น รับบริหารและดำเนินกิจการสถานีวิทยุ โทรทัศน์ โทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกและโทรภาพทางสาย (เคเบิลทีวี) เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ บริการประชาสัมพันธ์และจัดรายการทางวิทยุโทรทัศน์ โทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกและโทรภาพทางสาย (เคเบิลทีวี) แพร่ภาพโทรทัศน์ ผลิตรายการ ประชาสัมพันธ์ รับจ้างผลิตสื่อ ฯลฯ
ซึ่งจนถึงปัจจุบัน ITV ยังไม่มีการจดทะเบียนเลิกบริษัทหรือจดยกเลิกวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนทั้ง 5 ข้อดังกล่าว
“นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม สอดรับกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในคดีการถือหุ้นบริษัท วีลัคมีเดีย ที่อ้างว่าปิดกิจการแล้ว แต่ไม่จดทะเบียนยกเลิกบริษัท ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ยังสามารถประกอบกิจการสื่อมวลชนได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ไม่ได้จดเลิกบริษัท
เช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาในทำนองเดียวกับผู้สมัครเลือกตั้ง สส.ทั้ง 4 ราย ที่ไม่ได้จดทะเบียนเลิกประกอบกิจการสื่อขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามเช่นกัน
- ITV ชนะคดีเบื้องต้นแล้ว 2 ยก รัฐต้องคืนคลื่นความถี่และชดใช้ค่าเสียหาย โดย ITV ที่ได้ถูกปิดสถานีและยึดคลื่นคืน เพราะไม่ชำระหนี้ค่าสัมปทานแก่รัฐเมื่อ 17 ปีก่อน ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ โดยอ้างว่ารัฐให้สัมปทานกับบุคคลอื่นเป็นเหตุให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างรุนแรง จึงขอให้สำนักปลัดสำนักนายกฯ ชดเชยความเสียหายตามสัญญาเข้าร่วมงานฯ ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ ITV ชนะ ได้รับเงินเยียวยาและคืนคลื่นความถี่
โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) นำคดีสู่ศาลปกครองกลาง แต่ศาลพิพากษายกคำร้อง และสปน. ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อ แต่ปัจจุบัน ศาลปกครองสูงสุดยังไม่มีคำพิพากษาในคดีนี้
“นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม เพราะคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการและศาลปกครองกลางให้ ITV เป็นผู้ชนะคดี ได้รับการเยียวยา และคืนสัมปทานคลื่นความถี่โทรทัศน์ ITV จึงอยู่ในฐานะที่พร้อมประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ได้” นายเสรี ระบุ
- แม้ ITV ไม่ได้ประกอบกิจการแล้ว แต่ยังมีบริษัทลูกประกอบกิจการสื่อและมีรายรับจากบริษัท อาร์ตแวร์มีเดีย ที่ ITV เป็นผู้ถือหุ้น 99% โดยมีผลประกอบกิจการจดทะเบียนทำสื่อโฆษณา รายการ ให้เช่าเครื่องมือ ลิขสิทธิ์ แลอื่นๆ ฯลฯ ที่ถือได้ว่าเป็นธุรกิจสื่อมวลชน
“นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม สอดรับกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล พ้นจาก สส.ด้วยเหตุถือหุ้นสื่อในบริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด และบริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด” นายเสรี ระบุ
- แม้จะมีข้ออ้างว่านายพิธาถือหุ้น ITV เพียงแค่เล็กน้อย ทำไมจึงผิดนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวิจฉัยที่ ในคดีถือหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานรัฐที่วินิจฉัยให้ รมต. สส. และ สว.พ้นจากสมาชิกภาพไว้ว่า หุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานเป็นลักษณะต้องห้าม แม้ถือหุ้นเพียง 1 หุ้นก็ขาดคุณสมบัติ ดังนั้นการที่นายพิธาอ้างว่าถือหุ้น ITV เพียง 42,000 หุ้น จาก 1,206,697,400 หุ้น คิดเป็น 0.0035% ไม่มีอำนาจสั่งการบริษัท ข้อโต้แย้งนี้ของนายพิธา จึงฟังไม่ขึ้นและไม่อาจหักล้างคำนิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางแนวไว้เดิม
ที่มา:sanook