กระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่นประกาศเมื่อวันอังคารว่า ได้ลงนามในสัญญามูลค่าเกือบ 380,000 ล้านเยน หรือราว 95,200 ล้านบาท กับบริษัทมิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสทรีส์ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาด้านกลาโหมชั้นนำของประเทศ เพื่อพัฒนาและผลิตขีปนาวุธพิสัยไกลจำนวนมากสำหรับการติดตั้งใช้งานอย่างเร็วที่สุดในปี 2569 ถือเป็นการตัดสินใจครั้งล่าสุดที่จะทำให้ญี่ปุ่นมีการใช้จ่ายทางทหารเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในอีกห้าปีข้างหน้า
กระทรวงฯ ระบุว่า สัญญาดังกล่าวรวมถึงขีปนาวุธ Type 12 รุ่นปรับปรุง สำหรับการยิงจากพื้นผิวสู่ทะเลและอากาศ และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงสำหรับการป้องกันเกาะห่างไกล
กระทรวงฯ ระบุว่า การผลิตขีปนาวุธนำวิถีจากพื้นสู่เรือและขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Type 12 ซึ่งได้รับการพัฒนาแล้ว จะเริ่มขึ้นในปีนี้ เจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะระบุจำนวนขีปนาวุธที่ญี่ปุ่นวางแผนจะติดตั้ง แต่ระบุว่า คาดว่าการผลิตจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่เนื่องจากญี่ปุ่นมีพื้นที่จำกัด ญี่ปุ่นจึงวางแผนที่จะจัดการทดสอบขีปนาวุธล่วงหน้าที่ฐานทัพหลายแห่งในสหรัฐฯ
สัญญาอีกฉบับหนึ่งคือการพัฒนาขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านเรือพิสัยไกล ที่ยิงจากเรือดำน้ำ ซึ่งจะเริ่มในปีนี้และวางแผนไปจนถึงปี 2570 ส่วนระยะเวลาในการติดตั้งยังคงไม่แน่นอน
แผนพัฒนาดังกล่าวอิงตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ที่ญี่ปุ่นประกาศเมื่อเดือนธันวาคม เพื่อพยายามเพิ่มแสนยานุภาพทางทหาร เพื่อยับยั้งภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากจีน เกาหลีเหนือ และรัสเซีย กลยุทธ์ใหม่นี้รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถในการโจมตีเชิงป้องกัน ซึ่งเป็นการหักล้างการให้คำมั่นหลังสงครามของญี่ปุ่นที่จะจำกัดกำลังทหารไว้เพื่อป้องกันตนเอง
ญี่ปุ่นได้เสริมกำลังการป้องกันในภาคตะวันตกเฉียงใต้ และเพิ่งวางหน่วยขีปนาวุธบนเกาะห่างไกลเพื่อเป็นการป้องปรามในกรณีฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน แต่ประชาชนในจังหวัดโอกินาวามีความเห็นที่แตกต่างกัน เพราะเกรงว่าจะเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้ง
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ กล่าวว่า ญี่ปุ่นกำลังซื้อขีปนาวุธร่อนโทมาฮอว์กพิสัยไกลที่ผลิตในสหรัฐฯ จำนวน 400 ลูก ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึง 1,600 กิโลเมตร เพื่อเริ่มติดตั้งในปี 2569 โทมาฮอว์กเป็นอาวุธที่ถูกนำมาใช้เป็นการชั่วคราว ขณะที่มิตซูบิชิกำลังดำเนินการยกระดับและขยายพิสัยของขีปนาวุธ
ญี่ปุ่นวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารเกือบสองเท่าในอีกห้าปีข้างหน้าเป็น 43 ล้านล้านเยน หรือราว 11 ล้านล้านบาท.
ที่มา:ไทยรัฐ