โพล มี.ค.66 ชี้คนไทยมีความสุขขึ้นหลังโควิดคลี่คลาย แต่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวเป็นรูปตัว K โดยคนรายได้ปานกลางถึงสูง แห่ซื้อสินค้าถาวรทั้งรถ-บ้าน แต่คนรายได้ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท ยังประหยัดไม่กล้าใช้จ่ายเท่าคนรวย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในการสำรวจความคิดเห็นด้านสังคมจากประชาชน 2,241 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า เดือน มี.ค.66 ดัชนีทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และสูงสุดในรอบ 38-40 เดือน โดยดัชนีวัดความสุขในการดำรงชีวิตปัจจุบัน อยู่ที่ 56.8 สูงสุดรอบ 40 เดือนนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.62 เพิ่มจาก 53.4 ในเดือน ก.พ.66 ส่วนในอนาคต หรือใน 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีอยู่ที่ 59.8 สูงสุดรอบ 38 เดือนนับจากเดือน ก.พ.62 เพราะโควิดดีขึ้น และเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา แม้ราคาน้ำมันและค่าครองชีพยังทรงตัวสูง
ขณะที่ดัชนีภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน อยู่ที่ 34.5 สูงสุดรอบ 39 เดือนนับจากเดือน ม.ค.63 เพราะประชาชนยังรู้สึกว่ามีปัญหาค่าครองชีพสูง และการเพิ่มขึ้นของรายได้ยังไม่เหมาะสมกับค่าครองชีพ ส่วนในอีก 3 เดือน แม้ดัชนีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 42.5 สูงสุดรอบ 39 เดือน แต่ค่าดัชนียังต่ำกว่าระดับปกติที่ 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังรู้สึกว่า ค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจบั่นทอนอำนาจซื้อในอนาคต ส่วนดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง อยู่ที่ 50.1 ดีขึ้นจากเดือน ก.พ.66 ที่ 47.8 ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และสูงสุดในรอบ 40 เดือน ส่วนในอีก 3 เดือนดัชนีอยู่ที่ 55.9 ซึ่งแม้ดีขึ้น แต่ประชาชนยังเห็นว่าสถานการณ์การเมืองไทยยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพบว่า ดัชนีทุกรายการดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และสูงสุดรอบ 37 เดือนนับตั้งแต่เดือน มี.ค.63 หรือหลังจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างชัดเจน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค.66 อยู่ที่ 53.8 เพิ่มจาก 52.6 ในเดือน ก.พ.66, ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบัน อยู่ที่ 38.0 เพิ่มจาก 37.0 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต อยู่ที่ 61.4 เพิ่มจาก 60.2 เพราะผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นหลังจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน แต่ยังคงกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังสูง, สงครามรัสเซียและยูเครน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่เศรษฐกิจโลกถดถอย กระทบการส่งออกไทยและกำลังซื้อหด
“หลังจากที่ประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้น ก็เริ่มใช้จ่ายมากขึ้น เห็นได้จากดัชนีซื้อรถยนต์คันใหม่ ดัชนีความเหมาะสมซื้อบ้านหลังใหม่ ดัชนีความเหมาะสมการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ส่วนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือต่ำกว่าเดือนละ 20,000 บาท ยังระมัดระวังการใช้จ่าย ตอกย้ำให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเป็นรูปตัว K ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่กล้าใช้จ่ายเท่ากับคนที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง”
อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่าในช่วงสุญญากาศทางการเมืองช่วงไตรมาส 3 หรือก่อนที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ และมีคณะรัฐมนตรี เศรษฐกิจอาจไม่มีแรงขับเคลื่อน จึงต้องการให้เร่งจัดตั้งรัฐบาล จัดทำและอนุมัติงบประมาณปี 67 โดยเร็ว เพราะคาดว่าหากได้แกนนำรัฐบาล ไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้ ก็อาจต้องรื้องบปี 67 และจัดทำใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายที่ใช้หาเสียง ซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะแล้วเสร็จ “เศรษฐกิจไทยปีนี้ ถ้าจะโตเกิน 3.5% ไม่ง่าย เพราะเกิดสุญญากาศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ทำให้การลงทุนไม่โดดเด่น แต่ต้องรอดูผลของเม็ดเงินสะพัดจากการเลือกตั้ง ถ้ามีเงินหมุนในระบบได้ไม่ต่ำกว่า 120,000 ล้านบาท จะช่วยให้เศรษฐกิจโตขึ้นได้อีก”.