STARK ขาดทุนอ่วม!! กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ผู้สอบบัญชีเปิดหลักฐานชัดเสกตัวเลขยอดขาย-ลูกหนี้การค้าเทียม โยกเงินออกจากบริษัท พัวพันผู้ถือหุ้นใหญ่ ก.ล.ต.ขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับงบการเงินและผลการตรวจสอบด้วยความรอบคอบ พร้อมดำเนินการผู้ทำผิดตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ได้แจ้งงบการเงินงวดปี 65 และงบการเงินปี 64 ฉบับที่ตรวจสอบบัญชีโดย PWC มายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรากฏว่าพลิกเป็นขาดทุน โดยงวดรวมปี 65 มีผลขาดทุนสุทธิ 6,651 ล้านบาท (เฉพาะส่วนของบริษัทขาดทุน 15,134 ล้านบาท) ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสะสมรวม 10,379 ล้านบาท (เฉพาะบริษัทขาดทุน 14,999 ล้านบาท) ขณะที่งวดรวมปี 64 ขาดทุนสุทธิ 5,989 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ บริษัทรายงานปี 64 มีกำไรสุทธิ 2,783.11 ล้านบาท และงบการเงินงวด 9 เดือนแรกปี 65 มีกำไรสุทธิรวม 2,216 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทชี้แจงผลขาดทุนสุทธิปี 64 ที่แตกต่างจากกำไรสุทธิจากงบการเงินปี 64 ฉบับลงวันที่ 23 ก.พ.65 ที่แจ้งตลาดฯก่อนหน้านี้ เนื่องจาก ทางกลุ่มบริษัทต้องปรับปรุงรายการทางบัญชี เพื่อแก้ไขความผิดพลาดของการบันทึกบัญชีที่เกิดขึ้นในปี 64 ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัท ณ สิ้นปี 65 มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 4,403 ล้านบาท ติดลบเพิ่มขึ้น 54% จากปี 64 ที่ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 2,844 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นที่ติดลบของปี 65 และ 64 เป็นผลมาจากการขาดทุนจากการดำเนินงานและการปรับปรุงรายการข้อผิดพลาดในแต่ละปี
อย่างไรก็ดี งบการเงินเฉพาะกิจการ ปี 65 มีส่วนผู้ถือหุ้น 2,492 ล้านบาท ลดลง 9,554 ล้านบาท จากส่วนของผู้ถือหุ้น ที่มีมูลค่า 12,046 ล้านบาท ในปี 64 เป็นผลมาจากการตั้งสำรองการด้อยค่าของเงินลงทุนในบริษัทย่อย และเงินให้กู้ยืมจำนวนมากในปี 65
ด้านผู้สอบบัญชี PWC ชี้แจงเหตุที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินปี 65 ด้วยสาเหตุที่สรุปเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ 1.ผู้สอบบัญชีไม่สามารถหาหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอ ด้วยสาเหตุหลัก เช่น การตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ ยังตรวจสอบ 3 บริษัทย่อยของ STARK ไม่แล้วเสร็จ คือ บริษัท เฟ้ลปส์ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL), บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด (ADS) และบริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (TCI) 2.มีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนต่อความสามารถในการดำเนินงาน เนื่องจากมีผลขาดทุนสุทธิ มีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 6,628 ล้านบาท มีส่วนของเจ้าของติดลบ 4,404 ล้านบาท ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 2 กลุ่มแรก เรียกให้บริษัทชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยโดยพลันซึ่งมียอดเงินต้นค้างชำระ 2,241 ล้านบาท 3.รายงานการสอบบัญชี ไม่แสดงความเห็นของผู้สอบบัญชีบริษัทย่อย
ทั้งนี้ ผู้สอบบัญชียังได้รายงานความผิดปกติหลายรายการที่ขัดต่อข้อเท็จจริง มีการสร้างรายได้และลูกหนี้เทียมจาก 3 บริษัทย่อย ตัวอย่างเช่น 1.เฟ้ลปส์ดอด์จมียอดลูกหนี้การค้าคงค้างจำนวนมาก เป็นการออกเอกสารขายโดยไม่มีการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าจริง ทำให้เฟ้ลปส์ดอด์จรับรู้รายได้จากการขายของลูกหนี้การค้าสูงเกินความเป็นจริงถึง 5,005 ล้านบาท ในปี 2565
2.รายการขายจำนวนมากที่ให้แก่ลูกหนี้การค้าหลายราย รวมเป็นเงิน 1,890 ล้านบาท ซึ่งเฟ้ลปส์ดอด์จได้ออกเอกสารขายโดยไม่มีการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าจริง ทำให้รับรู้รายได้และลูกหนี้การค้าสูงเกินจริงราว 1,890 ล้านบาท
3.เงินที่ได้รับจากลูกหนี้การค้าของเฟ้ลปส์ ดอด์จไม่ได้มาจากลูกหนี้การค้าจริง แต่มาจาก บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่ง และบริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มกิจการ
4.เฟ้ลปส์ดอด์จได้จ่ายเงินค่าสินค้าล่วงหน้าให้แก่คู่ค้า 3 ราย รวม 10,451 ล้านบาท รายการเหล่านี้เกิดขึ้นในเดือนพ.ย.ถึง ธ.ค.65 ซึ่งผู้สอบบัญชีตรวจพบว่า รายการเหล่านี้ไม่ได้จ่ายไปยัง 3 บริษัทตามที่อ้าง แต่เป็นการโอนเงินออกไปให้ เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่ง
5.เฟ้ลปส์ ดอด์จอ้างว่าได้รับเงินจากลูกหนี้การค้าต่างประเทศหลายรายในช่วงเดือน ธ.ค.65 จำนวน 2,034 ล้านบาท และ 4,052 ล้านบาท แต่ผู้สอบบัญชีไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีการขายเกิดขึ้นจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางด้านสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับงบ การเงินและผลการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษของ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ( STARK) ด้วยความ ระมัดระวัง เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการเปิดให้ซื้อขายหุ้น STARK จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.66 ในกรณีนี้ ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯและหากพบว่าบุคคลใดเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายตามกระบวนการต่อไป.
