รถยนต์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของผู้คนเพราะช่วยให้การเดินทางนั้นสะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ขนส่งมวลชนเข้าไม่ถึง แต่ในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือเมืองสำคัญที่มีจำนวนรถยนต์มาก ทำให้ที่จอดรถยนต์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญไปแล้ว ที่จอดรถยนต์ปัจจุบันนั้นหายากมาก และบางพื้นที่ไม่ปลอดภัย
จึงเกิดโมเดลของการให้บริการที่จอดรถยนต์มากขึ้น และหนึ่งในที่จอดรถยนต์ที่โตแรงในช่วงนี้ คือ JPARK ที่จอดรถยุคใหม่ ที่เริ่มต้นค่าบริการ 20 บาท และด้วยการเติบโตที่สูงทำให้บริษัทกำลังจะกลายเป็นสมาชิกใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ mai
JPARK หรือ บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai โดย แบ่งธุรกิจเป็น 3 รูปแบบหลัก คือ ธุรกิจให้บริการที่จอดรถ (2) ธุรกิจรับจ้างบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (3) ธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ
จุดเริ่มต้นของ JPARK ถูกก่อตั้งโดย คุณสันติพล เจนวัฒนไพศาล กรรมการผู้จัดการ โดยในช่วงแรก ให้บริการออกแบบและศึกษาความเป็นไปได้ทางวิศวกรรมในการลงทุน โครงการก่อสร้างสนามบินในพื้นที่ต่างจังหวัด ต่อมาเห็นโอกาสของผู้ขับขี่รถยนต์ ที่มักมีปัญหาในการหาที่จอดรถ แถบที่จอดรถสาธารณะหลายที่ไม่ปลอดภัย ประสบปัญหาการลักขโมยรถยนต์ หรือ การทำลายทรัพย์สิน ทำให้เริ่มคิดโมเดลของการให้บริการที่จอดรถยนต์ครั้งแรกขึ้น
JPARK เริ่มทำที่จอดรถยนต์ครั้งแรกในปี 2545 ในพื้นที่ตลาดสดสามย่าน ถนนพญาไท ที่ถือว่าเป็นแหล่งที่หาที่จอดรถยนต์ยากมากที่สุดที่หนึ่งของกรุงเทพฯ โดยใช้โมเดลการเช่าช่องจอดที่ตอบโจทย์ผู้รับบริการ ทั้งรูปแบบ ผู้ใช้ทั่วไป และ ผู้เช่าบริการแบบรายเดือน โดยเริ่มต้น 2 ชั่วโมงแรก ค่าบริการ 20 บาท ชั่วโมงถัดไป ค่าบริการชั่วโมงละ 20 บาท
ซึ่งการเริ่มต้นของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้บริษัทหาพื้นที่ทำที่จอดรถยนต์ใหม่ๆ พร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบัน JPARK ได้มีการขยายพื้นที่ให้บริการที่จอดรถยนต์ 42 แห่ง มีช่องจอดกว่า 13,500 คัน โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 39 แห่ง และ ต่างจังหวัด 3 แห่ง ในหลายพื้นที่ยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็น สยามสแควร์วัน, บริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5 แห่ง หรือในพื้นที่ ท่าอากาศยานขอนแก่น และ ท่าอากาศยานอุบลราชธานี
จุดเด่นของที่จอดรถยนต์ของ JPARK คือ การควบคุมการเข้าออกของรถยนต์ด้วยการตรวจสอบทะเบียนรถยนต์ได้ตลอดเวลา เชื่อมต่อสัญญาณได้ในระยะไกล และเชื่อมโยงทั้งโครงการ บัตรสมาร์ทการ์ด ระบบหมุนเวียนบัตร มีความประหยัดและสามารถรองรับรถยนต์ได้จำนวนมาก มีระบบอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ และ วงจรปิดที่ช่วยดูแลความปลอดภัย
ทำให้ในปี 2563 – 2565 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจให้บริการที่จอดรถ จำนวน 218.64 ล้านบาท 171.58 ล้านบาท และ 278.61 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นสัดส่วน 76.40%, 70.43% และ 61.22% ของรายได้รวมแต่ละปีตามลำดับ
นอกจากนี้บริษัทยังต่อยอดธุรกิจไปยังการให้บริหารจัดการพื้นที่จอดรถยนต์ โดยเป็นผู้รับจ้างในการบริหารพื้นที่ที่ผู้ว่าจ้างได้ลงทุนอุปกรณ์และระบบบริหารที่จอดไว้แล้ว โดยบริษัทจะเป็นผู้จัดเก็บค่าบริการที่จอดรถยนต์ให้ โดยปัจจุบันมีพื้นที่เข้าไปบริหารแล้ว 24 แห่ง รวมช่องจอดกว่า 12,000 ช่อง อยู่ในพื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้งหมด ซึ่งทำเลที่บริษัทรับจ้างบริหารอยู่ปัจจุบันจะเป็นบริเวณจุดเชื่อมต่อ-จุดเปลี่ยนผ่านกับระบบขนส่งสาธารณะ และอาคารสำนักงาน รวมถึงการให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่ช่องจอดรถ
สำหรับการเติบโตของ JPARK อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ในปี 2563 ที่มีรายได้รวม 286.17 ล้านบาท ปี 2564 ที่ 243.61 ล้านบาท และ ปี 2565 ที่ 455.09 ล้านบาท ตามลำดับ ในปี 2565 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นในทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการที่จอดรถ ที่ฟื้นตัวภายหลังจากที่รัฐบาลได้ยกเลิกนโยบายปิดเมือง (Lockdown) ส่งผลให้มีผู้มาใช้บริการที่จอดรถเพิ่มขึ้นจากช่วงที่สถานการณ์ COVID-19 ยังไม่คลี่คลาย ส่วนกำไรนั้น พบว่า บริษัทมีผลกำไร/(ขาดทุน) สุทธิ ในปี 2563 มีกำไร 6.51 ล้านบาท แต่ปี 2564 ขาดทุนที่ 10.99 ล้านบาท และปี 2565 มีกำไร 55.05 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามสำหรับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ บริษัทจะมีการเสนอขายหุ้น 110,000,000 หุ้น คิดเป็น 27.50% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยจะนำเงินไปใช้ในการลงทุนโครงการอาคารจอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และใช้เป็นเงินทุนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ซึ่งการเข้าตลาดหุ้นน่าจะเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโตที่ก้าวกระโดดให้กับบริษัท ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร และจะเริ่มขายหุ้นไอพีโอเมื่อไหร่ Thairath Money จะติดตามอย่างใกล้ชิด
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/
