นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้เรียกนายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลังเข้าพบพร้อมกับปลัดกระทรวงการคลังและ 3 กรมจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร เพื่อดูว่าจะเร่งรัดการจัดเก็บรายได้ตรงไหนได้อีก หรือตรงส่วนไหนทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้นก็จะทำ ขณะนี้ผ่านมาครึ่งปีงบประมาณแล้ว ก็ต้องดูว่าตรงไหนที่ต้องมีการลดหรือเพิ่ม ทั้งเรื่องมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษี ที่ให้นักลงทุนต่างประเทศต้องมาดูว่าตรงไหนที่จะทำอะไรได้บ้าง
“กรณีที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า อีก 1-2 สัปดาห์จะมีการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาให้พิจารณา ผมกำลังดูอยู่ ก็จะดูว่าเศรษฐกิจมีปัญหาอะไร จะขับเคลื่อนอย่างไร กระทรวงการคลังกำลังทำอยู่ คิดว่าไตรมาส 4 เศรษฐกิจดีขึ้นแน่นอน ดีขึ้นมาก ขณะนี้กำลังดูไตรมาส 3 อยู่ว่าทำอย่างไรที่จะให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่าเดิม เพราะเงินงบประมาณก็เริ่มจ่ายออกไปแล้ว”
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.กล่าวว่า กรณีรายได้รัฐหลุดเป้าหมายเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีความกังวลใดๆ กรมสรรพากร ศุลกากรยังจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย มีเพียงกรมสรรพสามิตที่เก็บหลุดเป้า หลังมีการลดภาษีน้ำมันดีเซล และเบนซินรวมถึงมาตรการรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทำให้เก็บภาษีรถยนต์ได้ลดลงจาก 25-35% เหลือ 2% ฐานะการคลังยังแข็งแกร่ง และปิดหีบงบประมาณปี 2567 ได้แน่นอน ไม่ต้องกู้เพิ่ม ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่เคยมีปีไหนที่จัดเก็บ หรือเบิกจ่ายรายได้ตามเป้าเป๊ะๆ แต่ภาพรวมไม่ได้หนักใจ
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การจัดเก็บรายได้รัฐ 7 เดือนปีงบประมาณ 2567 ไม่เป็นไปตามเป้าหมายจากที่กำหนดไว้ 39,000 ล้านบาท มาจากการปรับลดภาษีน้ำมันดีเซลทำให้รายได้ส่วนนี้หายไป 24,000 ล้านบาท นโยบายภาษีอีวีทำให้รายได้ลดลง ยอดขายรถยนต์ที่ตกลงชัดเจนทำให้รายได้ส่วนนี้หายไป 10,000 ล้านบาท กระทรวงการคลังยังยืนเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ตลอดทั้งปีงบประมาณ 2567 ที่ 2.78 ล้านล้านบาท และในปีงบประมาณนี้จะมีรายได้เพิ่มเติมมาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สินค้านำเข้าที่มูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท อีกหลาย พันล้านบาท.
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/
