“3 แม่ลูก” ขับ จยย.กลับบ้าน ถูกวัวตัดหน้า-พุ่งชนอย่างจัง สลดถูกรถพ่วงสวนทางเหยียบซ้ำ ลูกชาย 9 ขวบดับสยองคาที่ ลูกชายวัย 17 บาดเจ็บ ส่วนแม่เจ็บหนัก-ถูกตัดขาเป็นคนพิการ ผู้เป็นแม่เผยรถพ่วงบีบแตรเสียงดังทำวัวตกใจวิ่งตัดหน้า ร้องสื่อขอความเป็นธรรม บอกผ่านมาเกือบครึ่งเดือนคดีไม่คืบ-คู่กรณีเมินไร้การเยียวยา
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จาก น.ส.อุมาพร สุริยนต์ อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดตรัง เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม หลัง น.ส.อุมาพร ขับขี่รถ จยย.ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสเมท สีเทา-ดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน จังหวะนั้นมีรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียนจังหวัดตรัง ทะเบียนตัวพ่วงจังหวัดพัทลุง บรรทุกหินมาเต็มคันรถ ขับสวนทางมาแล้วบีบแตรเสียงดังจนวัวที่ยืนอยู่ข้างทางตกใจวิ่งตัดหน้ารถ จยย. ก่อนพุ่งชนเข้าอย่างจัง และถูกรถพ่วงคันดังกล่าวเหยียบลูกชายวัย 9 ขวบเสียชีวิตคาที่ ลูกชายวัย 17 บาดเจ็บ ส่วน น.ส.อุมาพร ถูกเหยียบเข้าที่ขาบาดเจ็บจนสลบ และถูกส่งตัวมารักษาที่ รพ.ย่านตาขาว โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา
โดย น.ส.อุมาพร เล่าว่า หลังเกิดเหตุตนต้องพิการทุพพลภาพ ถูกตัดขาขวาไป 1 ข้าง ตั้งแต่หัวเข่าลงไป เข้ารับการผ่าตัดแล้วถึง 3 ครั้ง และยังคงต้องผ่าอีกเรื่อยๆ เนื่องจากบาดแผลมีการติดเชื้อ และมีบาดแผลอีกหลายจุดทั่วร่างกาย วันนี้ตนต้องสูญเสียลูกชายวัย 9 ขวบ ที่ยังมีอนาคตอีกยาวไกล และตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงดูลูก 2 คน ต่างพ่อ เนื่องจากถูกพ่อของลูกวัย 9 ขวบทิ้งไปตั้งแต่เขายังอยู่ในครรภ์
“ความรู้สึกพูดอะไรไม่ออก จุกและเจ็บอยู่ภายในใจ และไม่ได้ไปเผาศพลูก อีกทั้งยิ่งมารู้ข่าวว่าทางคู่กรณีทั้งเจ้าของวัวและเจ้าของรถบรรทุกพ่วงไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือใดๆ เลย ไม่ไปแม้แต่งานศพลูกชายที่ฌาปนกิจไปเมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันเด็ก นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยโทรศัพท์มาถามไถ่ หรือติดต่อมาหาแม้แต่น้อย รวมทั้งทางพนักงานสอบสวน สภ.บ้านหนองเอื้อง ก็ไม่เคยเข้ามาสอบปากคำใครแม้แต่คนเดียว และไม่เคยติดต่อเข้ามาในเรื่องคดีความเลย” น.ส.อุมาพร กล่าว
น.ส.อุมาพร เล่าต่อว่า วันนี้ตนต้องติดหนี้ค่ารักษาของโรงพยาบาลประมาณ 120,000 บาท และยังมีเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ก็ยังไม่มีเงินจะจ่าย เพราะรถ จยย.ไม่มี พ.ร.บ. และไม่มีประกันภัย ตนหาเช้ากินค่ำสุดท้ายอยากฝากและพูดถึงคู่กรณีและทางตำรวจ อยากให้เข้ามาดูและมาคุยกันบ้าง ไม่ใช่หายเงียบกันไป เพราะตนก็เป็นเสาหลักของครอบครัวเช่นกัน
ด้าน น.ส.บุญมา ฤทธิ์เดช อายุ 41 ปี หลาน น.ส.อุมาพร เปิดเผยว่า รู้สึกเสียใจมาก มีทั้งคนเจ็บคนตาย และเสียใจสุดๆ ที่ไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้องแม้แต่คนเดียวที่จะเข้ามาดูแลช่วยเหลือ หรือแสดงความรับผิดชอบ และอย่าขอให้ทุกคนต้องตายและเจ็บฟรี ซึ่งขอความเห็นใจกันสักหน่อย เพราะ น.ส.อุมาพร เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว อาชีพรับจ้างทั่วไป ต้องหาเลี้ยงดูลูกตัวคนเดียวมาตลอด อาศัยอยู่บ้านของญาติ และไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าว ต้องอาศัยข้าวของทางโรงพยาบาล และญาติๆ นำมาให้กิน มาเจอเหตุการณ์แบบนี้อย่าให้เขาต้องเจ็บและตายฟรี โดยไม่เข้ามาดูดำดูดีอย่างไร้มนุษยธรรมเลย และอยากให้ทางตำรวจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ทำคดีด้วยความจริง และหวั่นว่าจะมีอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามาแทรกแซงครอบงำคดี เนื่องจากทราบว่าเจ้าของรถจริงๆ เป็นนักการเมืองท้องถิ่น และจนถึงขนาดนี้ทางตำรวจยังไม่ดำเนินการใดๆ เลย
ขณะที่ น.ส.วาสนา สุริยนต์ อายุ 59 ปี พี่สาวของ น.ส.อุมาพร เปิดเผยว่า ตนเสียใจมากเพราะมีหลายเรื่องเข้ามา ไม่มีใครเข้ามาสนใจ ไร้มนุษยธรรมเป็นอย่างมาก จวบจนถึงวันนี้ไม่เคยได้คุยกับคู่กรณี และไม่มีใครส่งข่าว หรือตัวแทนมางานศพเลย ส่วนทางตำรวจก็อ้างว่าคู่กรณีไม่ว่าง น.ส.อุมาพร ต้องสูญเสียลูกและพิการ อนาคตข้างหน้าเป็นยังไงเรายังไม่รู้ วันนี้ทุกคนก็อยู่อย่างหวาดผวาว่าจะได้รับความยุติธรรมหรือไม่ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จิตใจย่ำแย่ วอนช่วยให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าของคดีดังกล่าวคือ ร.ต.อ.ณรงค์ศักดิ์ คำนึง สว.(สอบสวน) สภ.บ้านหนองเอื้อง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ส่วนทางคดียังคงไม่มีการเรียกฝ่ายใดมาทำการสอบปากคำ ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวยังได้ภาพกล้องหน้ารถของพยานรายหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารถเก๋งของพยานได้ขับแซง จยย.ของ 3 แม่ลูกไป ซึ่งขับโดยไม่ได้ใช้ความเร็วสูง ก่อนจะมาพบกับวัว 2 ตัวยืนอยู่ข้างถนน และกำลังจะพุ่งออกมาบนถนน ทำให้รถเก๋งของพยานเกือบจะชนเข้าเช่นกัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่รถบรรทุกพ่วงขับสวนทางมาพอดี และภายหลังเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็เกิดอุบัติเหตดังกล่าวขึ้น.
ที่มา:ไทยรัฐ