รอง สสจ.นครราชสีมา จัดอบรมทิพย์ ยังบริสุทธิ์ ขีดเส้น 30 วัน แจงที่มาเส้นทางเงิน

คืบหน้า คดีรอง สสจ.นครราชสีมา พร้อมพวก พัวพันโครงการจัดอบรมทิพย์เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทำรัฐสูญงบฯ กว่า 4 ล้านบาท ผู้บังคับบัญชาองค์กร ยันปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมให้ความเป็นธรรม แต่หากพบผิดจริง ดำเนินคดีถึงที่สุดทั้งวินัยและอาญา

จากกรณีเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่งานปราบปรามการทุจริตหลายหน่วยงาน อาทิ ปปง., ป.ป.ช., ป.ป.ท., ปปป. และ ศอตช. เป็นต้น ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักของ นายสันติ ทวยมีฤทธิ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา และบ้านที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา รวม 4 จุด พร้อมกับยึดอายัดทรัพย์สินมีค่าหลายรายการไว้ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท และพบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 50 ล้านบาท ภายหลังจากเจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า ในช่วงปี 62 นายแพทย์สันติ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการจัดอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตำบลและอำเภอ ในพื้นที่ 32 อำเภอของ จ.นครราชสีมา โดยเป็นลักษณะจัดอบรมทิพย์ มีแต่เอกสารโครงการและการเบิกเงิน แต่ไม่มีการจัดอบรมจริง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์สุผล ตติยนันทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงกรณีนี้ว่า ในส่วนของตนเองที่เป็นผู้บังคับบัญชาของ นายแพทย์สันติ ทวยมีฤทธิ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่งานปราบปราบการทุจริตอย่างเต็มที่ เพราะการปราบปราบการทุจริตถือว่าเป็นภารกิจที่หน่วยงานราชการทุกแห่ง ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ

แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของข้อกฎหมาย ซึ่งกรณีของ นายแพทย์สันติ ถือว่าเป็นผู้ถูกสงสัยเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ต้องหา ดังนั้นจึงยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ซึ่งตามระเบียบยังไม่สามารถปลดออกจากตำแหน่ง หรือสั่งการให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่หลังจากนี้ นายแพทย์สันติ ก็ต้องหาหลักฐานต่างๆ มาพิสูจน์ต่อ ปปง.ว่า เส้นทางการเงินทั้งหมด ได้มาโดยสุจริตจริงหรือไม่ โดยมีกรอบระยะเวลาในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ภายใน 30 วัน

ซึ่งตนมั่นใจว่าความจริงก็จะมีอยู่แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้า นายแพทย์สันติ มีหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ทั้งคดีอาญาและความผิดทางวินัยร้ายแรง ซึ่งตนเองจะไม่ออกมาปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดกฎหมายแน่นอน.

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/

ผู้นำเสนอข่าว

Hnoy