ตร.เร่งล่าคนร้ายดักซุ่มยิง “พ่อค้ารับซื้อน้ำยางสด” วัย 36 ปี คาคอกวัวชน คาดมือปืนมีไม่ต่ำ 2 คน สนิทสนมรู้จักกันเป็นอ่างดี สันนิษฐานขัดแย้งส่วนตัว แต่ยังไม่ตัดประเด็นอีกทิ้ง
เมื่อเวลา 23.45 น. วันที่ 28 มิ.ย.67 พ.ต.ท.ศุกรี หมัดศรี สว.(สอบสวน) สภ.ปะเหลียน รับแจ้งเหตุจาก รพ.ย่านตาขาว ว่ามีคนยิงด้วยอาวุธปืนเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณหน้าคอกวัวชน ใกล้บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ 2 บ้านในทอน ต.บ้านนา จ.ตรัง หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ ตร.ชุดสืบสวน สายตรวจ ต.บ้านนา แพทย์เวร รพ.ย่านตาขาว และตำรวจพิสูจน์หลักฐาน จ.ตรัง
ที่ห้องฉุกเฉินพบศพ นายศิรวิชญ์ ชายภักตร์ หรือ “บังเดี่ยว บ้านนา” อายุ 36 ปี ชาว อ.ปะเหลียน จ.ตรัง อาชีพพ่อค้ารับซื้อน้ำยางสดและเลี้ยงวัวชน คาดถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซอง กระสุนเจาะเข้าเป็นกลุ่มใหญ่ที่หน้าอกขวาเป็นรูพรุน จำนวน 8 แผล และศีรษะอีก 1 แผล รวมทั้งยังมีเศษลูกปลายจากกระสุนปืนลูกซองเข้าที่บริเวณมือและแขนอีกหลายจุด
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่บริเวณหน้าคอกวัวชน หน้าบ้านของ นายวิชิต หรือไข่ ระเหม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 65 ปี พบรถ จยย.ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นสปาร์คนาโน สีแดง-ขาว ทะเบียนจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นรถของผู้เสียชีวิตจอดอยู่ ห่างจากหน้ารถประมาณ 4 เมตร พบกองเลือดขนาดใหญ่และรองเท้า 1 คู่ ถัดออกมาจากท้ายรถอีกประมาณ 6 เมตร พบกระเป๋าคาดอกของผู้เสียชีวิตตกอยู่ สภาพถูกลูกกระสุนลูกปรายเจาะเข้าจำนวนหลายจุด และมีคราบเลือดติดอยู่ ก่อนนำมาตรวจสอบพบภายในกระเป๋ามีเครื่องกระสุนปืนลูกซอง ขนาดเบอร์ 12 ชนิดสีเขียว 1 นัด และสีขาวอีก 1 นัด รวม 2 นัด บุหรี่ 1 ซอง ยาบ้าถูกห่อบรรจุในถุงพลาสติกจำนวน 3 เม็ด ซึ่งถูกกระสุนเจาะเสียหาย 2 เม็ด ภายในกระเป๋าตังพบมีเงินสดจำนวนหนึ่ง และยังพบเศษหัวกระสุนปืนลูกซองติดอยู่อีกจำนวน 1 หัว เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบถาม นางดำ (นามสมมติ) ภรรยาเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว เล่าว่า ตอนเกิดเหตุตนไม่ได้อยู่บ้าน มีเพียงแค่สามีนอนหลับอยู่ในบ้าน ส่วนลูกชายออกไปกินข้าวข้างนอก เท่าที่ทราบและมีพยานเห็นก่อนเกิดเหตุผู้ตายขับรถ จยย.เข้ามาโดยมี นายฉุย ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทซ้อนท้ายมาด้วย ในช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ ซึ่งโดยปกติทั้งคู่ชื่นชอบวัวชน ก็จะเข้ามาเฝ้าดูวัวชนที่ลูกชายตนเลี้ยงอยู่เป็นประจำ มีเพียงสามีตนนอนหลับอยู่ภายในบ้าน ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดติดต่อกัน แต่ไม่นึกว่าเป็นเสียงอาวุธปืน ก่อนจะรีบเดินออกมาดูปรากฏว่า วัวชนตกใจได้หลุดวิ่งออกจากหลักเดินวนอยู่รอบบ้าน ก่อนจะเดินออกมาดูก็พบว่ามีคนนอนจมกองเลือดอยู่ ตอนแรกเข้าใจว่าคงเป็นลูกชายถูกวัวชนขวิด แต่เมื่อมาพลิกหน้าดูปรากฏว่าไม่ใช่ลูกชาย แต่เป็น นายเดี่ยว เพื่อนของลูกชาย จึงรีบไปบอกเพื่อนบ้านเข้ามาช่วยเหลือ ตอนนั้นสามีก็ยังคิดว่าสาเหตุเพราะถูกวัวชนขวิด ก่อนจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า นำตัวส่ง รพ.จนมาทราบภายหลังจากแพทย์เอกซเรย์ปรากฏว่า บาดแผลตามลำตัวคือบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน ไม่ใช่ถูกวัวชนขวิด
ด้าน นายปกรณ์ พิมลเดชกุล อายุ 34 ปี ลูกเจ้าของบ้านที่เป็นเพื่อนสนิทผู้ตาย และเป็นลูกน้องทำงานซื้อน้ำยางสดให้กับผู้ตาย ปฏิเสธว่าตนไม่ได้อยู่กับผู้ตายในตอนเกิดเหตุ โดยก่อนเกิดเหตุตนอยู่กับผู้ตายตั้งแต่เช้า เพราะต้องทำงานขายน้ำยางจนแล้วเสร็จในช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. เมื่อเสร็จแล้วก็ได้เดินทางไปนั่งเล่นบ้านนายเบิ้มที่เป็นเพื่อนกัน จนช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. ได้แยกย้ายกันกลับบ้าน ต่อมาประมาณช่วงบ่ายโมง ผู้ตายได้ขับรถเก๋งมารับตนที่บ้าน เพื่อนำรถไปตรวจสภาพ โดยมี นายเบิ้ม นั่งอยู่ในรถแล้ว หลังจากเสร็จก็ได้ไปส่ง นายเบิ้ม ที่บ้าน ส่วนตนกับผู้ตายได้นำรถเก๋งไปเก็บไว้ ก่อนที่ตนและผู้ตายจะขับรถ จยย.ออกไปตัดหญ้าที่สวนปาล์มน้ำมัน โดยมี นายเบิ้ม ขับรถ จยย.มาด้วยอีกคัน จนกระทั่งตัดหญ้าเสร็จช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. หลังจากนั้นก็ได้แยกย้ายกันตอนประมาณ 20.30 น. โดย นายเบิ้ม ได้ขับรถนำตนไปส่งบ้าน ส่วนผู้ตายขับกลับคนเดียวโดยบอกว่าจะกลับไปอาบน้ำที่บ้าน หลังจากนั้นตนก็ไม่ทราบแล้ว
“ตนมาทราบจากพี่คนหนึ่งบอกว่าผู้ตายถูกวัวขวิด และมารู้ทีหลังว่าถูกยิง ที่ผ่านมาผู้ตายไม่เคยบอกว่ามีปัญหากับใคร ซึ่งวันนี้ตนสังเกตสีหน้าผู้ตายว่ามีความเครียด และบ่นเรื่องไม่มีเงินใช้จ่าย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ส่วนนิสัยผู้ตายก็จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวบ้างหากไม่สบอารมณ์ แต่ถ้าปกติก็จะดี แต่ไม่เคยทะเลาะกับใคร ตนก็ถือเป็นลูกน้องผู้ตาย ยอมรับว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้” นายปกรณ์ กล่าว
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวคนสนิท และสอบพยานไปแล้ว จำนวน 8 ปาก ซึ่งในจำนวนนั้นมี นายปกรณ์ และ นายเบิ้ม ด้วย นอกจากนั้นยังไปเก็บดีเอ็นเอและตรวจหาร่องรอยคราบเขม่าดินปืน พร้อมทั้งสอบปากคำอย่างละเอียด สันนิษฐานว่าคนร้ายมีไม่ต่ำ 2 ราย และอาจจะมีความสนิทสนมรู้จักมักคุ้นกับผู้ตาย และรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี ดูจากระยะการยิงในลักษณะห่างจากตัว ส่วนสาเหตุเบื้องต้นอาจจะมาจากปัญหาความขัดแย้งส่วนตัว แต่ยังคงไม่ตัดทิ้งในประเด็นอื่น ส่วนประวัติของผู้ตาย เคยต้องหาคดีมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ ประเภท 1 หรือ 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อปี 2559 สน.ดินแดง สังกัด บก.น.1 อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กำลังอยู่ระหว่างแกะรอยรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเร่งติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/