เกาะติดความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย หลังนักลงทุนกังวลตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศออกมาไม่ดีนัก อาจเสี่ยงต่อการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) กดดันดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ ทั้งดัชนี S&P500 และดัชนี NASDAQ ปรับตัวลดลงอย่างหนักคืนวานนี้
ความกังวลดังกล่าว สร้างแรงกดดันมายังหุ้นเอเชียด้วย โดยพบว่ามีแรงขายในหลายตลาด นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลี ที่เช้านี้ปรับตัวลดลงอย่างหนัก มากกว่า 4-5% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย เปิดตลาดลดลงอย่างหนัก อยู่ที่ 1,295 จุด ปรับตัวลดลง 17.43 จุด หรือ -1.33%
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจหลายตัวในสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าความเสี่ยงที่อาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคตมีสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขในตลาดแรงงาน, ดัชนี PMI และตัวเลขที่แสดงถึงกําลังซื้อ
ทั้งนี้ รวมถึงดัชนีที่วัดจากหัวข้อข่าวที่กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น เข้าสู่ “Technical Recession” ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ที่ผ่านมา
ภาวะดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวลดลง ซึ่งรวมถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยก็น่าจะได้รับแรงกดดันเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เรามองเห็นเครื่องมือในการที่จะต่อต้านการเกิดในอีกมุมหนึ่ง Recession ที่มีความพร้อมมากเช่นกัน ซึ่งได้แก่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังสูงถึง 5.50% เป็นไปได้ว่าอาจเห็นการปรับลดดอกเบี้ยที่มากกว่า 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่เริ่มมีการคาดหมายว่า การปรับลดดอกเบี้ยบางครั้งอาจอยู่ที่ระดับ 0.5%
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะผันผวนจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กลับมา โดยวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,300-1,320 จุด
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงและมีโอกาสหลุดต่ำกว่าระดับ 1,300 จุดอีกครั้ง โดยมีฐานบริเวณ 1,285-1,290 จุด เป็นแนวรับสําคัญ ตามกรอบ Sideways ทางภาพรวมสินทรัพย์เสี่ยงถูกกดดันอย่างหนัก หลังตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานสหรัฐฯ ทั้งการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ชะลอแรงกว่าคาด รวมถึงอัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2564 และเริ่มมีสัญญาณเสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
สร้างความกังวลต่อนักลงทุน ส่งผลให้ตลาดเพิ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็น 4 ครั้ง หรือสูงกว่าแล้วในปีนี้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรร่วงแรงต่อเนื่อง จากเม็ดเงินที่ไหลออกจากหุ้นและไหลเข้าพันธบัตร
ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน ก.ค. และครึ่งแรกของ ส.ค. โฟกัสอยู่ที่การประกาศอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ และกําไรไตรมาส 2/67 ว่าจะทยอยออกมาค่อนไปในทางต่ำกว่าคาด อาจเพิ่มโอกาสที่ กนง. จะพิจารณาลดดอกเบี้ยได้มากขึ้น
ส่วนอีกปัจจัยที่จะกําหนดทิศทางตลาดคือการวินิจฉัยคดีการเมือง ทั้งคดียุบพรรคก้าวไกลวันที่ 7 ส.ค. และโดยเฉพาะคดีนายกฯ เศรษฐา วันที่ 14 ส.ค. หากผลออกมาจะทําให้ Upside ระยะกลาง-ยาว เปิดกว้างขึ้นจากปัจจัย Overhang ที่หายไป โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศคาดว่าจะฟื้นตัวได้แรง
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/
Thank you for sharing superb informations. Your web site is very cool. I’m impressed by the details that you have on this site. It reveals how nicely you perceive this subject. Bookmarked this website page, will come back for extra articles. You, my pal, ROCK! I found just the info I already searched everywhere and simply couldn’t come across. What a perfect web-site.