ฟื้นตัวอย่างเต็มที่สำหรับการท่องเที่ยวของไทย ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาอย่างคับคั่ง โดยในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 9.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 44% ส่งผลต่อธุรกิจท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวไปด้วย
โดยการฟื้นตัวครั้งนี้ ส่งผลสำคัญกับหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงด้วย โดยเฉพาะในหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)หรือ AOT ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 67 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 12% จากต้นปี และหุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 33 บาท หรือเพิ่มขึ้น 11.86% จากต้นปี ด้วยกำไรไตรมาสที่ 1 แข็งแกร่ง
ในมุมมองการฟื้นตัวครั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประเมินว่า ราคาหุ้นที่ขึ้นมานั้นเกินราคาพื้นฐาน แม้ทิศทางธุรกิจจะดีก็ตาม และนักลงทุนควรรอให้เกิดการพักฐานก่อนเข้าซื้อ
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ทิศทางราคาหุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมที่อ่อนตัวหลังประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1 น่าจะเป็นโอกาสดีในการเข้าสะสมหุ้น โดยในอดีตราคาหุ้นในช่วงหนึ่งสัปดาห์หลังผลดําเนินงานของฤดูท่องเที่ยวที่ประกาศในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม มักจะผิดหวัง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น (ยกเว้น MINT ที่ไตรมาส 2 เป็นช่วงพีก) ซึ่งตลาดจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก่อนหุ้นจะมีแรงเข้าสะสมหุ้นอีกรอบ
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองที่เป็นกลางต่อกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากราคาหุ้นกับปัจจัยพื้นฐานนั้นถือว่าแพงเกินไป แม้ว่าผลประกอบการจะแข็งแกร่งก็ตาม โดย AOT ยังคงเป็น Top Pick ของเรา เนื่องจากได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า โดยมีแรงกดดันด้านต้นทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโรงแรม
MINT หุ้นที่แข็งแกร่งในช่วงโลว์ซีซั่นของไทย ธุรกิจโรงแรมในยุโรปของ MINT จะได้รับประโยชน์จากช่วงไฮซีซั่นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ด้วย RevPAR เพิ่มขึ้นในระยะสั้น จากมหกรรมการแข่งขันกีฬาและคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ โดยดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำกว่าคาดจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ถือเป็นปัจจัยหนุนที่สําคัญ (คาดว่าจะชําระหนี้ 11 หมื่นล้านบาทในปี 67 เทียบกับ 2 หมื่นล้านบาทในปี 66)
เรายังคงแนะนําซื้อ MINT โดยมีราคาเป้าหมาย 36 บาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น CENTEL ร่วง 10% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังทํากําไรดีกว่าคาด ซึ่งเรามองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินของโรงแรม แห่งหนึ่งในมัลดีฟส์ อัตรากําไรของธุรกิจอาหารฟื้นตัวช้า และผลกระทบจากการปรับปรุงโรงแรมในประเทศไทยไปแล้ว และเรายังคงคําแนะนําซื้อ CENTEL ด้วยราคาเป้าหมาย 49 บาท เนื่องจาก PEG สูงในกลุ่มที่ 1.2 เท่า และได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากอุปทานโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มโรงแรม ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 แสดงถึงความแข็งแกร่ง ERW และ CENTEL ออกมาดีกว่าคาด เนื่องจาก RevPAR ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ผลประกอบการไตรมาส 2/67 ของ AOT สอดคล้องกับประมาณการของตลาด 5.9 พันล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 19 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้สัมปทานเพิ่มขึ้น และปริมาณเครื่องบินและผู้โดยสารฟื้นตัวเป็น 81% และ 83% ของระดับไตรมาสที่ 2 ขณะที่กําไรหลักของ MINT หดตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นในยุโรป ผลประกอบการต่ำกว่าตลาดคาด เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และภาษีสูงกว่าคาด
สำหรับอัตราการเข้าพักยังต่ำกว่าระดับปี 62
เราคาดว่า CENTEL และ ERW จะรายงานกําไรหลักหดตัวจากไตรมาสก่อน ในไตรมาสที่ 2 ยกเว้น MINT เนื่องจากจะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรป จากการตรวจสอบของเรา พบว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในประเทศไทยของผู้ประกอบการโรงแรมทั้ง 6 รายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะลดลงในไตรมาส 2/67 เหลือ 70% (เทียบกับ 78% ในไตรมาส 1/67) ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับ 2062 ที่ 73% เราคาดว่าการเติบโตของ ADR จะลดลงเหลือ 6% จากปีก่อน ใน ไตรมาส 2 และชะลอตัวลงอีกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 เนื่องจากอุปทานโรงแรมที่กําลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม RevPAR ในไตรมาส 2/67 คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 28% เหนือระดับ 2,062 เนื่องจาก ADR ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/