นักลงทุน “หมดหวัง” รอรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ เทขายหุ้นค้าปลีกยกกลุ่ม ดัชนีทรุดแล้ว 7%

นักลงทุน “หมดหวัง” รอรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ เทขายหุ้นค้าปลีกยกกลุ่ม ดัชนีทรุดแล้ว 7%

ไม่ออกมาสักทีสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เคยให้ความหวังว่าจะนำพา GDP ไทยให้เติบโตในระดับ 5% ต่อปี แต่ยังไม่เห็นมาตรการที่เป็นรูปธรรมออกมา ผลดังกล่าวทำให้ “นักลงทุน” ในตลาดหุ้นไทยเริ่มเหนื่อยล้าจากการเฝ้ารอ

สะท้อนภาพจากความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย บล.ลิเบอเรเตอร์ ชี้ว่า ภาพความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นในกลุ่มค้าปลีกในช่วง 5 เดือนแรก ปรับตัวลดลง 7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลง 5.5%

โดยตลาดเริ่มไม่หวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าก่อนหน้านี้ตลาดยังฝากความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศออกมา แต่ด้วยความล่าช้าที่เกิดขึ้น ประกอบกับกำลังซื้อที่หดตัว ทำให้ตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นต่อผลการดำเนินงานดังกล่าว กดดันให้ราคาหุ้นนั้นลดลง

ทั้งนี้การหดตัวดังกล่าวจะท้อนจากสัญญาณที่เกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 จากกลุ่มสินค้าบริโภคที่ลดช่วงบวกลง กลุ่มตกแต่งบ้านดีขึ้น แต่ยังคงติดลบ โดยยอดการรายงานยอดขายต่อสาขาเดิม หรือ SSSG กลุ่มค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคทั้ง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ยังเป็นบวก แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

ส่วนกลุ่มอุปโภคตกแต่งบ้าน แม้จะมีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ และเริ่มมีงบประมาณทยอยออกมา แต่อย่างไรก็ตาม SSSG ยังคงติดลบ โดยเฉพาะบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ที่ติดลบเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม บล.ลิเบอเรเตอร์ ยังคงให้น้ำหนักมากกว่าตลาด เพราะมองว่าราคาหุ้น Underperform มากเกินไปเป็นโอกาสทยอยสะสม แม้ว่าโครงการ Digital Wallet อาจล่าช้า อย่างไรก็ตามเรายังมีความหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเราคาดว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับบริโภคยังมีการเติบโตได้

ส่วนกลุ่มตกแต่งบ้านมีปัจจัยหนุนจากงบประมาณภาครัฐที่ทยอยออกมา 2 หุ้นเด่นรับผลบวก คือ CPALL จาก SSSG ยังบวก และปีนี้ได้ผลบวกจากภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง ส่วน DOHOME เนื่องจากเป็นปีแห่งการฟื้นตัวจากฐานลูกค้าในต่างจังหวัด และยังได้อานิสงส์จากงบการก่อสร้างของภาครัฐที่จะทยอยออกมา ทำให้กำไรจะฟื้นเด่นที่สุดในกลุ่ม

ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) มีมุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือน มิ.ย.นั้น ดัชนีจะทรงตัวในระดับต่ำ ซึ่งถือว่าเป็นภาพที่อ่อนแรงกว่าที่เราเคยประเมินไว้ เนื่องจากมีปัจจัยลบเพิ่มเติมเข้ามา ได้แก่ 1.ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยสูงขึ้น เนื่องจากต้องรออีกระยะหนึ่งถึงจะมีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี นายกฯ ปรับ ครม. ซึ่งหากนายกฯ และ ครม. พ้นจากตำแหน่ง จะส่งผลให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่และอาจเกิดความล่าช้าของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

2.ทิศทางของค่าเงินบาท และฟันด์โฟลว์ในสินทรัพย์ทางการเงินของไทยน่าจะยังอ่อนแอในเดือน มิ.ย. เนื่องจากเรามองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังไม่ลดดอกเบี้ย แต่มีแนวโน้มที่ฝั่งยุโรปจะเริ่มลดดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าต่อในระยะสั้น

นอกจากนี้นักลงทุนควรติดตามประเด็นภายในประเทศ เช่น แนวทางการควบคุมการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดดิ้ง รวมทั้งข้อสรุปว่าจะมีการนำกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้หากอิงการคำนวณ earnings yield gap เรามองความเสี่ยงทางลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็น 2 ระดับ คือ 1,340 จุด และ 1,300 จุด.

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/

ผู้นำเสนอข่าว

Hnoy

Written by:

3,444 Posts

View All Posts
Follow Me :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

You May Have Missed