ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายตราสารหนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สรุปภาพรวมตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนครึ่งแรกของปี 66 ว่า มีมูลค่าคงค้าง 4.86 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นปี 65 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือหรืออันดับเครดิตระดับ A ขึ้นไป (คิดเป็น 84% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งหมด) โดยครึ่งแรกของปี 66 มีมูลค่าการระดมทุนทั้งตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาวรวมทั้งสิ้น 1.14 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่า 2.09 ล้านล้านบาท
เนื่องจากผู้ออกตราสารหนี้ได้ทยอยออกและเสนอขายตราสารหนี้เพื่อจำกัดต้นทุนดอกเบี้ยในปีที่ผ่านมาแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ระยะยาวอายุเฉลี่ย 4.33 ปี ซึ่งระยะเวลาปรับลงเล็กน้อยจากปีก่อนซึ่งอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 5.11 ปี ขณะที่ผู้ออกตราสารหนี้รายใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ พลังงานและสาธารณูปโภค และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ชำระหนี้และใช้ในกิจการของบริษัท ทั้งนี้ สัดส่วนการเสนอขายกว่า 90% เป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับลงทุน (investment grade) ส่วนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (high-yield bond) ได้แก่ กลุ่ม non-investment grade และ unrated ผู้ออกตราสารหนี้จะจัดให้มีหลักประกันเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุน
สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวของกลุ่ม invest ment grade และ high yield มีดอกเบี้ยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3.46% เป็น 3.62% และจาก 6.25% เป็น 6.70% ตามลำดับ ตามทิศทางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยตราสารหนี้ ที่มีการเสนอขายส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A ขึ้นไป ยังสามารถขายได้ตามมูลค่าที่ตั้งไว้ จะมีเฉพาะบางบริษัทในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ที่เสนอขายได้ไม่ครบตามจำนวน เนื่องจากผู้ลงทุนมีความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น จากการผิดนัดชำระหนี้ของบางบริษัท แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการออกตราสารหนี้ใหม่ เพื่อทดแทนตราสารหนี้เดิมที่ครบกำหนด (rollover) เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายในการระดมทุนไว้มากกว่าจำนวนเงินที่ต้องใช้ rollover ในระดับหนึ่ง รวมถึงมีแผนสำรองในการออกหุ้นกู้รุ่นต่อไปเพิ่มเติมและใช้แหล่งเงินอื่น เช่น เงินทุนหมุนเวียนของกิจการ และเงินกู้จากธนาคาร เป็นต้น
ขณะที่ตราสารหนี้กลุ่ม high-yield bond มีการขอขยายวันครบกำหนดอายุ ประมาณ 1-2 ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้ออกรายเดิมที่เคยขอขยายวันครบกำหนดอายุแล้ว และยังไม่สามารถออกตราสารหนี้ใหม่เพื่อทดแทนได้ และมักจะเป็นตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยข้อมูลสิ้น มิ.ย.66 มีผู้ออกตราสารหนี้ที่ขอขยายอายุ 14 ราย (38 รุ่น) มูลค่าคงค้าง 13,395 ล้านบาท (คิดเป็น 0.28% ของทั้งระบบ) ซึ่ง 63% อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ มูลค่าคงค้างการขยายอายุลดลงเล็กน้อย เทียบกับปี 65 ซึ่งอยู่ที่ 14,273 ล้านบาท เนื่องจากมีผู้ออกบางรายไถ่ถอนตราสารหนี้ที่เคยขอขยายอายุ
ในช่วงครึ่งแรกของปี 66 มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (downgrade) และแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย เกิดจากปัจจัยเสี่ยงเฉพาะของแต่ละบริษัท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี 66 มีผู้ออกหุ้นกู้ที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ มีการผิดนัดชำระหนี้ 3 ราย มูลค่าเงินต้นที่ผิดนัดรวมทั้งสิ้น 12,278.29 ล้านบาท คิดเป็น 0.25% ของตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งระบบ โดยทั้งหมดเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้ของทั้ง 3 ราย เป็นปัญหาเฉพาะบริษัท ยังไม่ส่งผล กระทบต่อภาวะตลาดตราสารหนี้โดยรวม.
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/