ตำรวจสอบสวนกลาง นำกำลังทลายแก๊งฟอกเงินจีนเทา แฉพฤติการณ์หลอกเหยื่อ เช็กเส้นเงิน พบมีการถอนไป 2,900 ล้าน เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์
วันที่ 18 ก.พ. 68 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ประดิษฐ์ เปการี รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. และ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม/ตรวจค้น ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา

ประกอบด้วย น.ส.อัจฉรา อายุ 27 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 825/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม คอนโดแห่งหนึ่งย่านสุทธิสาร แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร, MR.GAO อายุ 35 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 829/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม คอนโดแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร, MR.XIONG อายุ 30 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 839/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม คอนโดย่านพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร
MR.MAO อายุ 46 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 834/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม ห้องพักแห่งหนึ่งย่านไนท์ซาฟารี ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่, MRS.ZHOU อายุ 44 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 827/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่, น.ส.พรทิพย์ อายุ 44 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 817/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม บ้านแห่งหนึ่ง อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี

นายนพวิทย์ อายุ 31 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 814/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม บ้านแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.สระแก้ว, นายชลธี อายุ 21 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 812/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร, น.ส.ปัณฑารีย์ อายุ 26 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 813/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม บ้านแห่งหนึ่งใน อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช, น.ส.สุภาวดี อายุ 39 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 810/2568 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม หน้าบ้านแห่งหนึ่งใน อ.ลาดใหญ่ จ.สมุทรสงคราม
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่
พฤติการณ์สืบเนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการหลอกลวงเหยื่อมาโดยตลอด โดยส่วนใหญ่จะอาศัยพฤติกรรมของเหยื่อในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น การซื้อขายของออนไลน์ การเช่าที่พัก รวมไปถึงการหางานหรือรายได้พิเศษ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามิจฉาชีพได้เลือกใช้กลวิธีในการหลอกลวงเหยื่อในรูปแบบของการหางาน หรือหารายได้พิเศษทางช่องทางออนไลน์ อาศัยการทำงานที่ง่ายและได้เงินได้ทันที ทำให้เหยื่อเกิดความหลงเชื่อ สนใจเข้าร่วมทำงาน ก่อนจะหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ
โดยเมื่อประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ได้มีผู้เสียหายซึ่งต้องการหางานทำเพื่อหารายได้พิเศษ ได้พบโพสต์ประกาศหางานในสื่อโซเชียลมีเดีย ประกาศว่าเป็นการทำงานพิเศษเสริมรายได้โดยเป็นการรับสินค้าไปแพ็กที่บ้าน ต่อมาผู้เสียหายเกิดความสนใจจึงได้ติดต่อพูดคุย โดยในช่วงแรกคนร้ายได้ชักชวนให้ทำงานพิเศษในรูปแบบออนไลน์ โดยเป็นงานกดไลค์ กดเพิ่มยอดติดตามต่างๆ เมื่อผู้เสียหายได้ทดลองทำงานดังกล่าวปรากฏว่าได้รับเงินจากการทำงานจริงเป็นจำนวนหลายครั้ง
จากนั้นคนร้ายจึงเริ่มชักชวนให้ผู้เสียหายทำกิจกรรมพิเศษต่างๆ โดยกิจกรรมดังกล่าวผู้เสียหายจะต้องนำเงินมาลงทุนก่อน จากนั้นจึงจะได้รับผลตอบแทนจากการทำงานตามเงินลงทุนที่ลงทุนไป โดยมีผลตอบแทนประมาณ 30%-50% ภายหลังผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้นำเงินไปร่วมลงทุน โดยในช่วงแรกมีการให้ผลตอบแทนในการลงทุนจริง จากนั้นคนร้ายได้มีการหลอกลวงให้ผู้เสียหายนำเงินไปลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งภายหลังผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินออกมาจากระบบได้ โดยคนร้ายให้เหตุผลว่าเป็นความผิดของผู้เสียหาย อ้างว่าไม่ทำตามขั้นตอนที่กำหนด ภายหลังผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนเองถูกหลอกลวง จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอออกหมายจับต่อศาลอาญา โดยออกหมายจับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 32 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มบัญชีม้าคนไทย จำนวน 10 ราย, กลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน จำนวน 2 ราย, กลุ่มขบวนการที่มีการฟอกเงิน จำนวน 20 ราย (ชาวไทย 1 ราย, ชาวจีน 14 ราย, ชาวเกาหลี 5 ราย)
ต่อมาในห้วงวันที่ 11-14 ก.พ. 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. จึงได้สนธิกำลัง ร่วมด้วย บก.ป., บก.ปคบ., บก.ปคม. และ บก.ทล. เปิดปฏิบัติการ “ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา” โดยเข้าทำการตรวจค้น/จับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทำความผิดดังกล่าว เข้าตรวจค้นจำนวน 20 จุด 8 จังหวัด ทั่วประเทศไทย โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ 7 จุด, จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 5 จุด, จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 3 จุด, จังหวัดสระแก้ว จำนวน 1 จุด, จังหวัดปราจีนบุรีจำนวน 1 จุด, จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 1 จุด จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 1 จุด และจังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 1 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 10 ราย ได้แก่ สมาชิกแก๊งฟอกเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยจำนวน 5 ราย และเจ้าของบัญชีม้าที่ใช้ในการกระทำความผิด จำนวน 5 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ รวม 210 รายการ เช่น คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, สมุดบัญชี, รถยนต์/รถจักรยานยนต์, เงินสด, โฉนดที่ดินบ้าน/คอนโด, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนด์เนมและทรัพย์สินมีค่าต่างๆ รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการตรวจค้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเชื่อว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวได้ทำการฟอกเงินซื้อทรัพย์สิน และอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นบ้านหรูและคอนโดหรู ทรัพย์สินมีค่า อาทิเช่น นาฬิกาหรู กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ มูลค่ารวมทั้งหมดกว่า 440 ล้านบาท
จากการสอบถามผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาลำดับที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการฟอกเงินในประเทศไทย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การรับในข้อเท็จจริงว่า ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2562 ตนเคยทำหน้าที่เป็นล่ามและไกด์พาเที่ยวให้กับชาวจีน ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2566 ผู้ต้องหาได้รู้จักกับแฟนหนุ่มชาวจีน และได้ร่วมกันรับเหรียญดิจิทัลจากลูกค้ากลุ่มจีนเทาต่างๆ ที่ต้องการใช้เงินในประเทศไทย จากนั้นได้นำเหรียญดิจิทัลมาขายและนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยนำส่งให้กับกลุ่มจีนเทาตามคำสั่ง โดยจะได้ค่าบริการ 0.03% – 0.05% ของยอดเงิน
โดยขั้นตอนการทำงานแต่ละครั้งแฟนหนุ่มของผู้ต้องหาที่ 1 จะติดต่อกับกลุ่มจีนเทาต่างๆ จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 และคนในแก๊งจะรับเหรียญดิจิทัลมาจากลูกค้าแล้วนำเหรียญดิจิทัลมาขายออกในรูปแบบ p2p ผ่านแพลตฟอร์ม EXCHANGE โดยผู้ต้องหาจะส่งเงินตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา ซึ่งในกรณีถ้ายอดเงินมีจำนวนไม่มาก ผู้ต้องหาที่ 1 และแฟนหนุ่มชาวจีน จะใช้วิธีการโอนเงินผ่านบัญชีของตนเองไปให้กับลูกค้า แต่หากในกรณีเงินที่ต้องส่งให้กับลูกค้าจำนวนมาก ผู้ต้องหาที่ 1 จะเบิกเงินสดแล้วนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าตามสถานที่นัดหมายหรือนำเงินสดฝากเข้าบัญชีต่างๆ ตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา เนื่องจากกลุ่มจีนเทามีความต้องการเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปใช้จ่ายในประเทศไทย โดยผู้ต้องหาที่ 1 และแฟนหนุ่มชาวจีน ได้ร่วมกันกับพวกฟอกเงินให้กับกลุ่มจีนเทามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ถึงปัจจุบัน
โดยขั้นตอนการทำงานแต่ละครั้งแฟนหนุ่มของผู้ต้องหาที่ 1 จะติดต่อกับกลุ่มจีนเทาต่างๆ จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 และคนในแก๊งจะรับเหรียญดิจิทัลมาจากลูกค้าแล้วนำเหรียญดิจิทัลมาขายออกในรูปแบบ p2p ผ่านแพลตฟอร์ม EXCHANGE โดยผู้ต้องหาจะส่งเงินตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา ซึ่งในกรณีถ้ายอดเงินมีจำนวนไม่มาก ผู้ต้องหาที่ 1 และแฟนหนุ่มชาวจีน จะใช้วิธีการโอนเงินผ่านบัญชีของตนเองไปให้กับลูกค้า แต่หากในกรณีเงินที่ต้องส่งให้กับลูกค้าจำนวนมาก ผู้ต้องหาที่ 1 จะเบิกเงินสดแล้วนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าตามสถานที่นัดหมายหรือนำเงินสดฝากเข้าบัญชีต่างๆ ตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา เนื่องจากกลุ่มจีนเทามีความต้องการเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปใช้จ่ายในประเทศไทย โดยผู้ต้องหาที่ 1 และแฟนหนุ่มชาวจีน ได้ร่วมกันกับพวกฟอกเงินให้กับกลุ่มจีนเทามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ถึงปัจจุบัน
ที่มา ไทยรัฐ