หมอบอกลูก 4 ขวบไส้ติ่งแตก ผ่าตัดไปแล้วสรุปวินิจฉัยผิด เสียค่ารักษาไปกว่า 2.5 แสน

หมอบอกลูก 4 ขวบไส้ติ่งแตก ผ่าตัดไปแล้วสรุปวินิจฉัยผิด เสียค่ารักษาไปกว่า 2.5 แสน

หมอบอกลูก 4 ขวบไส้ติ่งแตก ผ่าตัดไปแล้วสรุปวินิจฉัยผิด เสียค่ารักษาไปกว่า 2.5 แสน สุดท้ายเด็กอาการดีขึ้นเพราะสวนอุจจาระ

(16 ก.พ.66) เมื่อเวลา 18.15 น. นายณัฐพงษ์ อายุ 25 ปี น.ส.ยลดา อายุ 29 ปี นางจันทการ อายุ 51 ปี พ่อแม่และยายของ น้องนาธัน อายุ 4 ขวบ ได้เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนหลังพาลูกชายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านรังสิต ด้วยอาการตัวร้อนเป็นไข้ ปวดท้องเล็กน้อย แพทย์วินิจฉัยด้วยมือเปล่าว่าไส้ติ่งแตกต้องผ่าตัดด่วน แต่ผ่าตัดแล้วปรากฏไส้ติ่งไม่แตก ต้องผ่าตัดซ้ำเปิดหน้าท้อง บอกลำไส้อุดตัน แผลยาวกว่า 15 ซม. ที่แท้เกิดพังผืด เสียเงินกว่า 2 แสน ต้องยอมรับสภาพหนี้ทั้งที่วินิจฉัยไม่ตรงโรค วอนกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขจังหวัดเข้าตรวจสอบให้ความช่วยเหลือ

น.ส.ยลดา มารดาเปิดเผยว่า ตนเองได้พาลูกชายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เพราะลูกชายมีอาการตัวร้อนมา 2 วัน แล้วไข้ไม่ลด โดยเมื่อมาถึงแพทย์ก็ซักประวัติก่อนจะรับเข้าทำการรักษาโดยการเอาฉี่กับอุจจาระของบุตรชายไปทำการตรวจ หลังจากการทำการตรวจไปแพทย์ก็ออกมาบอกว่า ค่าเลือดของลูกค่าขึ้นสูง กระทั่งช่วงเย็นวันเดียวกันแพทย์ได้เข้ามาทำการตรวจน้องโดยนำมือมาจับที่ท้องของลูกชายก่อนจะบอกว่า บุตรชายตนเองไส้ติ่งแตก ตอนแรกตนเองก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องทำการย้ายลูกไป รพ. อื่น เพราะตนเองคิดถึงแต่ชีวิตของลูกชายที่มีอายุเพียง 4 ขวบ และต้องนอนป่วยด้วยอาการไข้มาแล้ว 2-3 วัน โดยแพทย์ได้คลำๆท้องแล้วบอกว่า 100 เปอร์เซ็นต์เลยไส้ติ่งแตก ต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วนเลย ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่อีกคนเข้ามาเพื่อนำเอกสารมาให้ตนเองเซ็นพร้อมแจ้งว่าค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 160,000-180,000 บาท ตนเองก็เซ็นไปเพื่อให้แพทย์ทำการผ่าตัดรักษา

หลังเข้าห้องผ่าตัด เวลาผ่านไปประมาณ 45 นาที แพทย์จะออกมาเรียกขอพบคุณแม่น้องด่วน ตนเองก็เข้าไปในห้องผ่าตัด โดยแพทย์ทำการรักษาบอกว่าน้องไม่ได้เป็นไส้ติ่งแตก หลังจากที่ผ่าตัดไปแล้ว ตนเองจึงถามไปว่าอ้าว ทำไมคุณหมอว่าแบบนี้ หมอบอกว่าส่องกล้องไปแล้วไปเจอลำไส้อุดตัน ถ้าคุณแม่ไม่ผ่าตัดต่อลำไส้ ลำไส้น้องจะเน่า โดยคุณหมอได้เอาใบมาให้เซ็นอีกใบหนึ่งเรื่องค่าใช้จ่ายประมาณ 200,000-250,000 บาทเพื่อทำการรักษา ตนเองก็เซ็นเพื่อให้แพทย์ทำการรักษาไปโดยครั้งที่ 2 แพทย์แจ้งว่าจะทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้องประมาณ 5 เซนติเมตร แต่เมื่อรักษาทำการผ่าตัดมาแล้วพบว่าบาดแผลนั้นใหญ่มากกว่า 15 เซนติเมตร คือใหญ่มากสำหรับเด็กอายุ 4 ขวบ

นางจันทการ ยายของเด็ก เปิดเผยต่อไปอีกว่า หลังทำการผ่าตัดเสร็จแทนที่แพทย์จะไปบอกพ่อแม่ที่นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัด กลับมาบอกตนเองที่อยู่อีกห้องหนึ่ง โดยมาบอกว่าผ่าตัดน้องเรียบร้อยแล้วนะครับ น้องปลอดภัยแต่น้องไม่ได้เป็นลำไส้อุดตันนะครับ แต่มีพังผืดที่สำไส้ ตนเองก็เลยรู้สึกงงว่าทำไมวินิจฉัยไม่ตรงตามที่แจ้งก่อนเข้าห้องผ่าตัด ตนเองจึงถามกลับไปว่าหลานเป็นอะไรแพทย์กลับบอกว่าน้องสำไส้ไปพันบังไส้ติ่งไว้ ตนเองเลยถามไปว่าสรุปแล้วหลานไส้ติ่งแตกหรือไม่ หมอบอกว่าไม่ได้แตก ตนเองยังถามกลับไปอีกว่าแล้วตัดไหมไส้ติ่ง แพทย์ก็บอกว่าตัดครับแต่ไว้ติ่งไม่ได้แตก ตนเองเลยงงว่าสรุปแล้วแพทย์ทำอะไร กระทั่งลูกสาวซึ่งเป็นแม่ของหลานเห็นแพทย์ทำการรักษากำลังคุยกับตนเองจึงเดินมาแพทย์ที่ทำการรักษาจึงเดินออกไป

นางจันทการ เปิดเผยต่อไปอีกว่า ตนเองก็บอกกับแพทย์ว่า ตนเองติดใจนะเพราะคุณหมอพูดกลับไปกลับมาเพราะมันไม่ตรงกับโรค ทำไมคุณหมอวินิจฉัยไม่ทำการเอ็กซเรย์ก่อน เพราะที่ รพ.แห่งนี้ทันสมัยอยู่แล้ว หากเป็นลำไส้อักเสบ เราก็ยังย้าย รพ.ทัน แต่นี่บอกว่าหลานไส้ติ่งแตกต้องรับการผ่าตัดด่วน เราก็ต้องปกป้องชีวิตหลานและทำการผ่าตัดด่วนจึงทำให้ไม่มีเวลาในการย้าย เพราะเรากลัวอันตราย จากนั้นหลังทำการผ่าตัดมาค่าเลือดของหลานก็ต่ำลง ไข้ยังสูง กระทั่งวันที่ 2 มีการนำอุปกรณ์มาทำการสแกนในช่องท้องเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมไข้ไม่ลด กระทั่งไปเจออุจจาระค้างในสำไส้ แพทย์บอกว่าจะต้องทำการสวน ก่อนจะทำการสวนจนอุจจาระออกมาเยอะ จากนั้นค่าเลือดเริ่มลง ไข้เริ่มลดตามลำดับ โดยมีการสวนอุจจาระไป 3 ครั้ง

โดยในการรักษาไป 6 วัน เสียการรักษาพยาบาลไปกว่า 250,000 บาท โดยครอบครัวเสียไปแล้วกว่า 95,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องยอมเซ็นรับสภาพหนี้เพื่อนำหลานออกมาจากโรงพยาบาล ทำให้ตอนนี้ยังเป็นหนี้โรงพยาบาลอีกกว่า 150,000 บาท โดยทางเราได้มีการพูดคุยกับแพทย์ทำการรักษาว่าทำไมบาดแผลใหญ่มาก ทีแรกบอกว่า 5 เซนติเมตร แพทย์กับบอกว่าคุณติดใจเรื่องนี้ใช่ไหม งั้นบาดแผล 7 เซนติเมตรก็ได้ เมื่อตาของหลานบอกว่าไม่ใช่ 7 เซนติเมตรแล้ว แพทย์บอกว่างั้น 10 เซนติเมตรก็ได้ จบมั้ย งั้น 12 เซนติเมตรก็ได้  ก่อนจะบอกขอโทษแล้วเดินหนีไป โดยบาดแผลของลูกจะมีการนัดตัดไหมที่แผลหน้าท้องตนเองคิดว่าจะย้าย รพ.ไปตัดไหมที่อื่น จนตอนนี้เด็กยังมีอาการเดินหลังโก่ง ปวดแผลเพราะบาดแผลใหญ่มาก 

น.ส.ยลดา มารดาของเด็กเปิดเผยว่า ตนเองอยากให้แพทย์ออกมาแสดงความรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมจะวินิจฉัยโรคไม่ทำการเอ็กซเรย์ ก่อนที่จะนำลูกตนเองไปผ่าตัด ไม่ใช่ใช้เพียงมือคลำจะรู้ว่าจะเป็นไส้ติ่งแตก 100 เปอร์เซ็นต์ตามที่แพทย์บอก ตนเองเคยติดต่อกับทางโรงพยาบาลไปแล้วว่าขอพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลแต่ก็ไม่ได้พบ วันนี้ตนเองจึงต้องมาร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เพื่อให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

ผู้นำเสนอข่าว

Lemon

Written by:

720 Posts

View All Posts
Follow Me :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

You May Have Missed