ส่องมือสองน่าสน Honda Civic Turbo RS Sedan (FC) พ่อบ้านหนุ่มเท้าไฟ แต่งง่าย เพื่อนเยอะ

ส่องมือสองน่าสน Honda Civic Turbo RS Sedan (FC) พ่อบ้านหนุ่มเท้าไฟ แต่งง่าย เพื่อนเยอะ

อันที่จริงในบทความส่องมือสองวันอาทิตย์นี้ น้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ อยากให้ผมเขียนถึง Civic รุ่น Hatchback เพื่อปลอบใจคนที่ยังไม่มีวาสนาแตะถึง Civic Type-R ตัวใหม่ แต่ตามประสาคนกวนผมยังไม่เขียนถึงตัว 5 ประตูนั่นเพราะจำนวนรถมีน้อย ลอตแรกๆอุปกรณ์ยังแอบขาด กันชนหลังปิดปลายท่อ วัยรุ่นที่ไหนจะชอบ รุ่นปีหลังๆ ของครบ ท่อออกกลางรถสไตล์ JDM พอเปิดดูราคาอู้หูวว ยังทะลุล้านอยู่ ผมว่าแฟนเพลงชาวไทยรัฐส่วนมากน่าจะชอบของที่ให้สิ่งต่างๆ คุ้มเงินมากกว่า ดังนั้นเราจะปล่อยเจ้า Hatchback ตัวแสบไว้ก่อน เพราะในแง่ความคุ้มค่าสำหรับสายซิ่ง หรือคนที่อาจจะชอบใช้รถหน้าตาเดิมๆ แต่ไม่อ่อนด้อยในพลัง Civic Turbo RS ตัวซีดาน 4 ประตูน่าสนกว่า โดยเฉพาะพวกรถรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์

Civic โฉม FC นี้ เปิดตัวในบ้านเราช่วงมีนาคม 2016 จะว่าไปก็ครบ 7 ปีพอดี และพอเผยโฉมออกมาก็ได้รับความนิยมจนใช้เวลาไม่ถึงสองเดือนในการกวาดยอดขาย 7,500 คัน (20% ในรถเหล่านั้นเป็นเครื่อง 1.5 เทอร์โบ) สาเหตุเพราะรูปทรง ดีไซน์ภายนอกภายในที่ต่างจากเดิมแบบสุดขั้ว Honda ชอบทำแบบนี้กับ Civic มานานแล้ว กล่าวคือทำรถในสไตล์จืดบ้าง สลับร้อนแรงบ้าง ตอน Civic 2001 “New Dimension” ออกมา หน้าตาจืดสนิทจนต้องไมเนอร์เชนจ์ใหญ่เปลี่ยนไฟหน้าให้ดูคมคายขึ้น พอมารุ่นปี 2005 โฉม FD ก็ทำรถออกมาจนอวกาศจัด ล้ำยุคไปมากทั้งนอกและใน พอถึงคราวโฉม 2012 รุ่น FB กลับดูเรียบร้อยและจืดลง แล้ว 2016 กับบอดี้ FC ก็กลับมาอวกาศอีกครั้ง สังเกตดูได้ครับ

การที่ผมแนะนำให้เล่นรุ่น 1.5 Turbo RS ปี 2016-2018 ที่เป็นโฉมแรกเพราะราคามือสองเริ่มคุยง่าย เทียบกับรุ่นไมเนอร์เชนจ์ 2018 พฤศจิกายน แน่นอนว่ารุ่นที่มาหลัง ของครบกว่า มีระบบ Honda SENSING แล้ว มีระบบเบรกอัตโนมัติ ระบบกันรถเป๋ออกนอกเส้นเลน ระบบ Adaptive Cruise Control และไฟสูงอัตโนมัติ แต่ถ้าตัดสิ่งเหล่านี้ (ซึ่งบางท่านก็ไม่สนใจจะใช้) เรื่องวิศวกรรมและการขับขี่ทั้งหมดไม่ได้ต่างไปจากโฉมแรก แต่ราคาของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ยังอยู่ในเพดานสูงกว่า ส่วนรุ่นย่อยอื่นเช่นรุ่น TURBO เฉยๆ ไม่มี RS นั้น มีถุงลมนิรภัยแค่คู่หน้า ไม่ได้มี 6 ใบแบบ RS แล้วก็ยังไม่มี Paddle Shift หลังพวงมาลัย ซึ่งอย่างหลังนี่ใส่เพิ่มเองไม่ได้นะครับ สมัยนั้นพวกผมเคยพยายามกันแล้ว ไหนๆก็มาถึงตลาดมือสองแล้ว ถ้าราคาจะห่างกันไม่กี่หมื่น เล่นรุ่น RS ไปเลยจบๆ ดีกว่า ส่วนรุ่น 1.8 ลิตรไม่มีเทอร์โบนั้น อุปกรณ์จะน้อยกว่า แอร์ไม่ใช่ Dual-Zone แบบพวกที่ใช้เครื่อง 1.5 เทอร์โบ แต่ถ้าคุณอยากได้ค่าบำรุงรักษาต่ำและซื้อในราคาถูก ตัว 1.8 ก็น่าจะเหมาะสมกว่า

ภายนอกของรุ่น Turbo RS เด่นจากรุ่นย่อยอื่นๆ หลายจุด กระจังหน้าเป็นสีดำล้วน และไฟหน้า ที่ทั้งไฟต่ำ ไฟสูง เป็น LED ที่ผมชอบเรียกว่าไฟตาแตก เพราะมองไกลๆแล้วเหมือนใครเอาหินไปเขวี้ยงจนแตกยกดวง มีไฟตัดหมอก LED ให้ ล้ออัลลอยลายใบพัดแบบโค้งปัดเงา (รุ่นไมเนอร์เชนจ์จะเปลี่ยนเป็นรมดำ) ล้อของ RS กับ TURBO ตัวล่าง ขนาด 17 นิ้วเท่ากัน แต่คนละลายกัน ห่อด้วยยางขนาด 215/50 ซึ่งมีข้อเสียตรงที่ ถ้าคุณอยากหายางไซส์นี้แล้วเป็นสเปก Soft-compound วิ่งสนามแข่ง มันจะแทบไม่มีตัวเลือกเลย แต่ถ้าเป็นยางสเปกวิ่งถนน เพียบ! คุณอยากได้ยางสปอร์ตพวก 4 เส้นสองหมื่นบวกลบอย่าง Michelin Pilot Sport 4 หรือ Bridgestone RE004 ก็มีไซส์ หรือยางสายเน้นนุ่มเงียบก็มี ส่วนใครอยากใช้ยาง 4 เส้นหมื่นบาทบวกลบ ก็ยังมียาง Alliance AL30 ซึ่งเป็นยางราคาประหยัดในเครือ Yokohama นำเข้าจากญี่ปุ่นก็น่าสนครับ ส่วนด้านท้าย RS ก็จะมีสปอยเลอร์หลังทรงไฮโดรฟอยล์ ที่บางคนถ้าไม่ชอบ ก็เกลียดเลย แต่การที่มีไฟท้ายทรงวงเล็บแบบนี้ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าสปอยเลอร์แบบไหนจะเข้ากับมันได้อีก

โดยรวมแล้ว ภายนอกของ Civic Turbo RS ดูซิ่งแบบยังไม่ถึงขั้นเทศกาลคาร์นิวัล เป็นความซิ่งแบบค่อนไปทางผู้ใหญ่ ที่ไม่ต้องใช้เสื้อผ้าอาภรณ์มากมายเพื่อบอกว่าตรูโหด ในสภาพเดิมๆ ของมัน คุณได้รถที่ทรงแปลกตา แหลมลิ่มเตี้ยแบบพวกรถคูเป้แบบ 4 ประตูอย่าง Audi A7 หรือเบนซ์ CLS ซึ่งทรงแบบนี้ล่ะครับคือส่วนที่ช่วยให้ Civic ได้ใจพวกวัยรุ่นตอนต้น ใบขับขี่ใบแรก ไปจนถึงวัย 40 ต้นๆ ยอดขายจึงดีเกือบตลอดอายุโมเดล เป็น Honda ที่ขายดีจน Toyota อึดอัดจิต

ภายในของ Civic เจเนอเรชัน FC นี้ นับว่าออกแบบมาได้ดีถ้ามองจากทรงของห้องโดยสาร ปกติการทำรถทรงหลังคาเตี้ยนั้น จะทำให้เวลานั่งแล้วรู้สึกอึดอัดหัว แต่ Civic แก้ด้วยการพยายามวางตำแหน่งเบาะให้เตี้ยลง เมื่อบวกกับการยกระดับคอนโซลกลางให้สูงขึ้น เวลานั่งแล้วจึงรู้สึกจมเหมือนรถคูเป้หลังคาเตี้ย เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า แต่มีแค่เบาะฝั่งคนขับเท่านั้นที่สามารถปรับสูง/ต่ำและกระดกรองน่องขึ้นลงได้ แนวหลังคาที่เตี้ย กับที่นั่งที่เตี้ย ทำให้เวลาเข้าไปนั่งแล้วขาเหยียด แต่โล่งหัว ไปลำบากอีกทีก็ตอนลุกออก เพราะตำแหน่งเบาะที่ใกล้พื้นนั่นเอง ส่วนเบาะหลังนั้น คนตัวสูง 180 ซม. สามารถนั่งได้แบบไม่ต้องเบี่ยงหัวหลบเพดาน เพราะ Honda เลือกกดแนวเบาะรองนั่งให้เตี้ย แล้วเอนพนักพิงหลังลงในตำแหน่งที่นั่งแล้วอยากจะหลับ แต่เป็นวิธีหลบหลังคาที่เวิร์กแล้วกัน

เรื่องอุปกรณ์กับความหรูหรา ต้องบอกเลยว่า Honda นั้นเก่งเรื่องการออกแบบเพื่อการใช้งาน แต่พอเป็นเรื่องวัสดุ เขาจะไม่ค่อยเน้น เมื่อไหร่ที่คุณเจอนักการตลาดบอกว่าภายในของ Honda ราคาไม่เกินสองล้านว่า “Premium” ก็ให้เข้าใจว่ามัน Premium เมื่อเทียบกับรุ่นที่ราคาถูกกว่า แต่ไม่ได้ใช้วัสดุดีกว่าคู่แข่งเท่าไร ยังดีที่รูปทรงของแดชบอร์ดนั้นล้ำอนาคตในขณะที่ Toyota Corolla Altis ยุคนั้นภายในดูเหมือนรถบรรทุก ก็เลยยังขายได้ เบาะหุ้มหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์ ส่วนบรรยากาศในห้องโดยสาร รายล้อมด้วยพลาสติกสลับวัสดุนุ่มในจุดที่สัมผัสร่าง จอกลางขนาดยังไม่โตมาก และอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย มีกราฟิกธีมสีเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหรือแดงได้ เพราะเครื่องเสียงชุดเดียวกันนี้ต้องใช้ในรถ EL กับ TURBO ที่หน้าปัดแสงน้ำเงิน กับ RS ที่เป็นหน้าปัดแสงสีแดง แทนที่จะผลิตเครื่องเสียงสองแบบ ก็ทำมาแบบเดียวแล้วปรับสีเอาในจอได้

Civic โฉมนี้ ยังไม่มีกล้องรอบคัน เพราะสมัยนั้นกล้องรอบคันยังไม่ป๊อปปูลาร์แบบตอนนี้ แต่คุณได้กล้องส่องถอยหลัง และในรุ่น RS นี้จะมีระบบ LaneWatch อันลือชื่อใช้มานานปีสิบปีไม่ยอมเปลี่ยนไปใช้ระบบ Blind Spot Monitoring เวลาคุณเปิดไฟเลี้ยวซ้าย จอกลางจะฉายภาพในมุมอับกระจกมองข้างให้เห็น หรือกดปุ่มปลายก้านไฟเลี้ยวได้ ทีนี้ ถ้าหากคุณดูแผนที่อยู่แล้ววิ่งมาถึงห้าแยกอันแสนสับสน แล้วเผลอเปิดไฟเลี้ยว ระบบนำทางจะโดนบัง คุณก็แก้ด้วยปุ่มปลายก้านไฟเลี้ยวนี่ละครับ กดแล้วแผนที่จะกลับมาโชว์เหมือนเดิม เครื่องเสียงรองรับ Android Auto ได้ ส่วน Apple CarPlay นั้นในช่วงแรกๆ ใช้ได้แบบไม่มีแผนที่ ในช่วงหลังคาดว่าน่าจะใช้ได้แล้วครับ แต่ยังต้องต่อผ่านช่อง USB คอนโซลกลางข้างล่างอยู่ นอกเหนือจากนี้ไป คุณได้แอร์ออโต้แบบ Dual-Zone ได้ระบบ Auto Brake-Hold ไว้ช่วยให้สบายเท้าเวลารถติดอีกด้วย

ในด้านความอเนกประสงค์ อาจจะมีจุดด้อยอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าด้านท้ายของ Civic Sedan โฉมนี้จะมีความจุ 530 ลิตร ซึ่งเท่าๆ กับรถยุโรปที่ตัวโตกว่า ใส่ของได้ลึกและเยอะ แต่ขนาดของช่องขนถ่ายสัมภาระเมื่อเปิดฝากระโปรงขึ้นนั้นเล็ก ถ้าของชิ้นสูงมากก็ยัดเข้ายาก นอกจากนี้ Civic FC ทุกคัน พับเบาะหลังไม่ได้นะครับ ใครที่ต้องขนของยาวๆบ่อยๆ แล้วอยากใช้ Civic คงต้องไปเอาตัว Hatchback

เครื่องยนต์ คือสิ่งที่ทำให้ 2 ใน 10 คนที่ซื้อ Civic เลือกใช้รุ่น 1.5 เทอร์โบ ตัวเลขพลังระดับ 173 แรงม้า กับแรงบิด 220 นิวตันเมตร คือสิ่งที่เราเคยเรียกหาได้กับรถอย่าง Accord 2.4 ลิตร แต่ในยุคนั้น Honda ใช้งานเครื่อง K-Series มา 15-16 ปีแล้วและกำลังค่อยฆ่าเครื่องเก่าที่หน่วยก้านดีแต่กินน้ำมันดุตัวนี้ทิ้ง Honda เลือกพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ รหัส L15B7 ซึ่งแม้จะมีเลขเครื่องว่า L15 เหมือน Honda City แต่พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง มันคือเครื่องที่ต่างกันเหมือน Barack Obama กับ Lewis Hamilton เครื่องเทอร์โบของ Civic นั้น นอกจากจะใช้หัวฉีด Direct Injection สไตล์รถเบนซินสมัยใหม่แล้ว ยังเป่าเสกพลังด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ของ Mitsubishi TD-03 และมีอินเตอร์คูลเลอร์ระบายความร้อนไอดี

ผมเคยไปฟังงานสัมมนานักจูนที่บอสใหญ่ของ Hondata คุณ Doug Macmillan สำนักจูน Honda จากนิวซีแลนด์ที่ดังมากถึงขนาด Honda USA เชิญไปอบรมช่างเทคนิคและดึงมาช่วยจูนรถในทีมสังกัด Honda ส่งรถเครื่อง 1.5 เทอร์โบมาให้เขาแกะเล่น โมดิฟายเล่น ก็บอกได้ว่าข้อเหวี่ยงกับก้านสูบเดิมๆ นั้นคุณเพิ่มม้าอีกร้อยตัวมันก็ทนแรงได้ ส่วนเกียร์ CVT นั้น เขาก็เอาไปลองวัดกับรถเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ซึ่งก็แพ้รถเกียร์ธรรมดาในช่วงออกตัว แต่ถ้าลอยลำอยู่แล้วกดพร้อมกัน รถ CVT ฉีกรุ่นเกียร์ธรรมดาสบาย เกียร์ CVT ของ Civic 1.5 เทอร์โบ จะเป็นสเปกที่สร้างมาเพื่อใช้กับรถใหญ่น้ำหนักเยอะ ซึ่งรองรับพลังได้มากกว่าเกียร์ CVT ของรุ่น 1.8 ลิตร ที่ยกมาจากของ HR-V อย่างไรก็ตาม Doug บอกว่า อย่าออกตัวแบบเท้าซ้ายกดเบรก เท้าขวาจมคันเร่ง มันจะเพิ่มโอกาสการเสียเงิน อย่างดีก็ลูกถ้วย CVT เป็นรอย คันไหนจูนเพิ่มแรงบิดมาเยอะ บูสท์เทอร์โบเยอะ ก็สายพานขาดกระจาย

เกียร์ของรุ่น 1.5 เทอร์โบนี่ ยังมีนิสัยที่แตกต่างจากตัว 1.8 ตรงที่เวลาคุณกดเต็มแม็ก รุ่น 1.5 จะมีการไล่รอบเป็น Step เมื่อความเร็วผ่าน 70 ไป แต่รุ่น 1.8 จะคารอบสูงไว้ตลอดเวลาเร่งครับ

ในการขับขี่ใช้งาน ผมพูดเลยว่า Civic Turbo RS คือรถแบบที่คนวัยพ่อวัยแม่ของพวกเราขับจ่ายตลาดได้สบาย Honda ยังไม่ได้ทำรถรุ่นนี้เป็นรถซิ่งเต็มพิกัดแบบพวก Type-R หรือซิ่งอุ่นๆ แบบพวก Si ฝั่งอเมริกาครับ เห็นหน้าตาดุดันเอาเรื่อง แต่นิสัยมันว่านอนสอนง่าย พวงมาลัยไม่ได้เบาโหวงจนเหมือนรถเล็ก ผมว่าน้ำหนักกำลังดี และมีความไวแบบที่เหมาะสมเป็นกลางระหว่างการขับในเมือง เลี้ยวเข้าตรอกออกซอย กับการวิ่งทางไกลแบบที่ไม่ต้องเกร็งมือมาก ช่วงล่างแบบเดิมๆ 1.5 Turbo RS จะใช้โช้คหน้าเหมือนรุ่น 1.8 แต่โช้คหลังและสปริงจะแตกต่างกัน เมื่อบวกกับยางแก้มเตี้ยกว่ารุ่น 1.8 ทำให้ได้อารมณ์รถบ้านติดสะเทือนไม่มาก ผู้ใหญ่พ่อตาแม่ยายนั่งได้ ถ้าเทียบกับ Mazda 3 ปีเดียวกันและ Corolla Altis โฉม 2018 จะกลายเป็นว่า Civic นั้นนุ่มที่สุด แต่ในทางกลับกันเมื่อคุณพยายามจะบู๊ ช่วงล่างเดิมนั้นยังยวบยาบมากไป ซึ่งไม่มีปัญหาถ้าใช้เงินแก้ได้ เพราะ Civic FC มีช่วงล่างแต่งให้เลือกหลาย Step สำหรับคนที่ไม่บู๊จริงจังมาก แค่ขอบขับเร็วและเล่นโค้งบ้าง เปลี่ยนแค่โช้คก็พอ เกินกว่านั้นไป เล่นสตรัทปรับเกลียว มีหลากรุ่นหลายราคา Honda เลือกเวย์นี้เพราะการทำช่วงล่างย้วยให้แข็งขึ้น ทำได้ง่าย แต่ถ้าทำรถโรงงานช่วงล่างแข็งมาเลย พวกลูกค้าที่อยากนุ่มก็จะขอบาย เพราะไม่มีใครทำโช้คแต่งที่ใส่แล้วรถนุ่มนวลขึ้น หรือถ้ามีก็ได้ผลลัพธ์แปลกๆ กลายเป็นทิ้งโค้งก็ย้วย วิ่งบนถนนขรุขระก็ดีด

อัตราเร่ง นับว่าเร็วที่สุดในรถระดับเดียวกันในวันที่เปิดตัว เคียงเทียบคู่ไปกับ Nissan Sylphy Turbo ซึ่งต่างก็เป็นรถครอบครัวตัวจี๊ดทั้งนั้น รถใหญ่ถ้าม้าไม่ได้เกิน 230 หรือรถกระบะยกสูงถ้าม้ายังไม่เกิน 240 มาแหย่เล่น เจอรถนักบัญชีใจโหดอย่าง Civic เทอร์โบกับ Sylphy เดิมๆ ไล่บี้เหงื่อออกยันร่องก้นได้ และถ้าไม่พอ การเรียกพลังเพิ่มก็ทำได้ไม่ยาก มีคนรับทำให้เยอะแยะ คุณขยับม้าจาก 173 เป็น 200 ตัวนิดๆ ขยับแรงบิดจาก 220 เป็นแถวๆ 300 นิวตันเมตร ทำได้โดยการรีแมพ และเปลี่ยนกรองอากาศช่วยหน่อย ท่อไอเสียไม่ต้องยุ่ง เครื่องกรองไอเสียไม่ต้องถอด รถเงียบเท่าเดิม ตัวเครื่องรับได้ เกียร์พังเร็วขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการขับ ถ้าเงินหนา คุยกับนักจูน Honda คุณจะเอาควอเตอร์ไมล์ 14? 13? หรือ 12 วิ? มันทำได้หมดแต่ขึ้นอยู่กับคุณว่าเงินคุณถึง ช่างคุณมือถึง แต่โดยส่วนตัว ผมเคยขับพวกที่ทำ Step ต้นๆ วิ่งเงียบๆ 220-230 แรงม้า แค่นั้นผมว่าก็แรงเหลือพอ รถ CVT ต้นออกจะไม่ค่อยดึงกระชาก แต่ว่ากันหลัง 70 ไป ดึงยาวๆ ไม่มีหย่อน

เกียร์ CVT ของ 1.5 เทอร์โบเวลามาจากโรงงานจะไม่กระชากเพราะมีการควบคุมแรงบิดเอาไว้เพื่อยืดอายุเกียร์ ซึ่งการรีแมพ/รีแฟลช สามารถปลดตัวนี้ได้ แต่ก็แลกกับอายุการใช้งานของเกียร์ที่จะลดลง ยิ่งทำมาแรงมาก ยิ่งลดมาก ระบบเบรกก็เป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง รถแรงกว่าตัว 1.8 มาก แต่ระบบเบรกเหมือนกันเด๊ะ ตอนอยู่ใน 1.8 นี่ก็เบรกดีแค่พอให้ลุงป้าขับได้ แต่ซัดเมื่อไหร่ ผ้าเบรกลาโลก หมดแรงเสียดทานอย่างไว ใครรู้ตัวว่าชอบวิ่งเกิน 120 บ่อยๆ อย่างน้อยก็เปลี่ยนผ้าเบรกทนความร้อนสูงดีกว่าครับ ไม่กี่พันบาท เปลี่ยนจากชนให้เป็นรอดได้

ส่วนการขับใช้งานทั่วไป ถ้าหากคุณไม่กดคันเร่งบ่อย ใจเย็นๆ ขับให้เหมือนมีคนเป็นโรคขี้ตกใจนั่งอยู่ด้วย Civic 1.5 เทอร์โบจะประหยัดมาก ขับทางไกล 15-16 กิโลเมตรต่อลิตรได้จริง แต่คนส่วนมากซื้อรถเทอร์โบมาไม่ได้เอามาแข่งประหยัดน้ำมันวิ่งข้ามประเทศ ส่วนมากก็จะกดกันบ้าง ก็จะลงไปเหลือ 12-13 กิโลเมตรต่อลิตร ไม่แปลก เทอร์โบของ Civic เป็นประเภทลูกเล็ก ติดบูสท์ไว กดนิดๆ ก็พลังมา บางทีถ้ากะน้ำหนักคันเร่งถูก คุณจะพารถเพิ่มความเร็วในจุดที่เทอร์โบบูสท์ไม่หนักมาก และเครื่องยนต์จะใช้กลไกแคมชาฟท์แปรผันช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำ ทำให้ประหยัดได้อยู่

การเก็บเสียง ต้องทำใจนะครับ การที่คุณขอ Honda ที่เก็บเสียงดี เงียบ แน่น ในราคาล้านบาทนี่เหมือนไปขอให้ลูกค้าร้าน Sizzler ตักสลัดบาร์ไม่เกิน 1 ครั้งน่ะครับ มันแค่เป็นสิ่งที่มีทางทำให้เกิดได้ แต่มันจะไม่เกิด โดยเฉพาะเสียงจากพื้นล่างรถ ออกจะดังกว่า HR-V เสียด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับ Mazda 3 SkyActiv ตัวแรก Honda จะเงียบกว่า แต่ในโมเดลตัวถังล่าสุด 2018 Mazda ปรับจนตัวถังเงียบแน่นชนะ Honda ขาดลอย ส่วน Corolla จากเดิมเคยเงียบพอประมาณ พอเป็นโฉม TNGA กลับกลายเป็นเสียงลมปะทะกระจกดังจนน่ารำคาญ Honda ก็เลยโชคดีว่า ไม่ว่าคุณวัดด้วยมาตรฐานปีไหน มันก็จะยังดีในระดับกลางๆ ถ้ามีวันไหนที่ Honda ราคาไม่เกินล้านต้นเก็บเสียงดีชนะคู่แข่งทุกยี่ห้อ ก็คงต้องรอให้ผมผอมตายเสียก่อน ไม่ใช่ตายเฉยๆ ด้วย ต้องผอมก่อนค่อยตาย

พูดถึงเรื่องจุดแข็งในด้านวิศวกรรมมาเยอะ ทีนี้ เราย้ายมาพูดเรื่องความจริงที่ต้องเจอกันบ้าง โดยเฉพาะในเมื่อหลายคันอาจวิ่งผ่านหลักสองแสนกิโลเมตรแล้ว

เรื่องแรกเลยคือสนิม ปัญหาหนึ่งที่ต้องพูดเลยว่าไปโพสต์ถามใครก็ได้ เจอทุกคน จะมากหรือน้อยก็เท่านั้น สนิมพวกนี้บางทีไม่ได้เห็นกันนอกรถนะครับ ต้องเปิดประตู เปิดฝาท้าย ไล่ดูตามขอบ บานพับ จุดเชื่อมอาร์คตัวถัง จะเจอผดสนิมเล็กๆ แต่บางคันโดยเฉพาะพวกที่อาศัยอยู่จังหวัดติดทะเล ถึงขั้นผุเลยก็มี พวกที่เป็นสนิมผดเล็ก รุ่นน้องผมที่ทำธุรกิจซื้อขาย Honda มักไม่ทำสีใหม่กัน แต่ใช้วิธีเอาน้ำยา Threebond CV108 ที่ช่วยยับยั้งการโตของสนิมทา ซื้อได้ที่ HomePro แต่คันไหนที่ผุทะลุ ก็ต้องทำสีไปตามดวง เวลาไปดูรถ มุดดูช่วงล่างด้วยเพราะบางคันสนิมลามช่วงล่าง ซึ่งมันไม่ใช่สนิมความชื้นที่สีส้มเรียบๆ นะครับ สนิมที่ผมว่านี่คือสนิมกัดเหล็กผุ ซึ่งไม่ใช่ทุกคันจะเป็นแบบนั้น น่าจะเป็นส่วนน้อยแต่ก็เป็นลอตเตอรี่จากนรกที่คุณไม่อยากถูกหวย คุณภาพของงานสี Honda ก็ไม่ดีนัก ชั้นแล็กเกอร์บาง ขึ้นรอยขนแมวง่าย คุณต้องได้เจ้าของรถที่ขยันเคลือบ เคลือบแก้ว เคลือบสี (เคลือบเพิ่มนะไม่ใช่ขัดสี) บ่อยๆ และพวกที่ไม่ชอบจอดรถตากแดด แล้วถึงจะถือว่าโชคดี การรักษาสีแบบไม่เสียดายเงิน ช่วยยืดอายุสีให้เงาทนเงานานได้ครับ

ต่อมา ก็คือจอกลาง อันเป็นลูกเล่นเด่นของรถ ซึ่งผนวกเอาการปรับฟังก์ชันบางอย่างของระบบแอร์เข้าไปด้วย จอเสีย จอกะพริบ ติดๆดับๆ มีเจอได้จนเป็นที่รู้กัน คันไหนเคยเคลมมาแล้วก็โชคดีไป พวกรถลอตแรกๆ เจอกันเยอะครับ ทางเลือกก็คือถ้าเอาเดิมๆ ดูดีก็เบิกศูนย์ใส่ แต่แพง หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็เปลี่ยนเอาจอ Android ตรงรุ่นซึ่งถูกกว่าและมีให้เลือกหลายแบบ ลองสอบถามในคลับในกลุ่มหรือ YouTube ดูก็ได้ว่าใส่แล้ว ฟังก์ชันเดิมทำงานครบไหม เวลากดสวิตช์แอร์ หน้าจอขึ้นค่าระบบปรับอากาศให้ถูกต้องไหม

ส่วนเครื่องยนต์กับเกียร์นั้น ตัวเครื่องยนต์ หลายคันผ่านหลักแสนกิโลเมตรโดยที่สภาพยังดี แต่ในคันที่เจ้าของชอบแช่ความเร็วสูง กระแทกคันเร่งบ่อยไม่ยั้ง เทอร์โบมักจะพังก่อน ซึ่งคุณจะถือโอกาสอัปเกรดเป็นเทอร์โบ Accord ที่ทำม้าได้มากขึ้นก็ได้ ของพวกนี้อู่นอกทำให้คุณได้ ประหยัดเงินกว่า ท่อนล่าง ลูกสูบ แหวน กำลังอัด ไม่ค่อยพบปัญหาเท่าไร ส่วนเกียร์ CVT นั้น รุ่น 1.8 จะเปราะและพังเยอะกว่าเพราะเป็นดีไซน์ที่เก่ากว่า แต่รถ 1.5 เทอร์โบก็พังได้ครับเมื่อถึงเวลาของมัน ขนาดทาง Honda เองยังเคยบอกว่าเขาคาดคะเนอายุการใช้งานไว้ 170,000-240,000 กิโลเมตรในประเทศที่พัฒนาแล้ว มาเจอประเทศร้อนแบบซ้อมลงนรกอย่างบ้านเรา ผมว่าผ่าน 150,000 ได้ก็ถือว่าใช้คุ้มแล้ว ภายใต้เท้าหนักๆ ถ้าพัง ก็ซ่อมอู่นอกได้ครับ ใช้รถเพื่อนเยอะก็ดีตรงนี้ อู่ทำเกียร์ Honda มีหลายแห่ง เตรียมเงินไว้ 25,000-30,000 บาทแล้วทำจบแบบใช้ยาวๆ ได้

จุดที่อยากให้เพิ่มอีกจุด ก็คือออยล์คูลเลอร์ระบายความร้อนน้ำมันเกียร์แบบสเปกดีๆ ถ้าคุณขับแบบ “ไม่” ปกติ ใส่เลยครับไม่ต้องคิดมาก เพราะจุดอ่อนของรถรุ่นนี้คือซัดแป๊บเดียว น้ำมันเกียร์จะร้อนจี๋ และอาการของเกียร์จะเปลี่ยน ช้า หนืด หน่วงแบบรู้สึกได้ ถ้าฝืนซัดต่อนานๆ บ่อยๆ อายุเกียร์ก็สั้น ออยล์คูลเลอร์ช่วยลดความสึกหรอตรงนี้ได้ครับ ส่วนน้ำมันเกียร์ กับน้ำมันเครื่อง Civic พลัง 1.5 เทอร์โบทั้งหลายจะไม่ได้มีระยะเปลี่ยนที่แน่นอนนะครับ รถจะประเมินจากการขับและข้อมูลจากสมองกล แล้วแจ้งเป็นข้อความเตือนบนหน้าปัดเมื่อใกล้ถึงวันที่ต้องเข้าไปเปลี่ยน อย่างน้ำมันเครื่องนั้น บางคนขับซัดหนักๆ 4,500 กิโลเมตร ไฟเตือนก็ขึ้นแล้ว ค่าบำรุงรักษามันถึงสูงกว่ารุ่น 1.8 มากไงครับ

แร็คพวงมาลัยดังปุกๆ ตอนเลี้ยวเยอะๆ นี่ก็เป็น Defect เจอกันหลายคันมาก ซึ่งทาง Honda ก็มีการขยายระยะเวลาการรับประกันให้ในรถบางลอต (น่าจะเป็นรถรุ่นแรกๆ ปี 2016-2018) โดยได้ระยะเวลาประกันแร็ค 8 ปี ถ้าพบว่ามีอาการนี้ ก่อนจะไปเสียเงินเอง เอาเลขตัวถังโทรเช็กศูนย์ก่อนครับว่าเคลมได้หรือไม่

นอกจากสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็จะเป็นปัญหาแมวรังควาน เช่น พวงมาลัยหนังลอก ปีกเบาะลอก ซึ่งไม่แปลกครับรถยุโรปอายุเท่ากันลอกหนักกว่าก็มี ส่งไปซ่อมหรือหุ้มเฉพาะจุดได้ เสา A-pillar ชอบมีเสียงดังก๊อกแก๊กเหมือนมีใครลืมนอตไว้ข้างใน แก้ได้ครับ ถอดออกมายัดฟองน้ำเพิ่มแล้วติดตั้งกลับเข้าไป ที่เหลือ ก็เป็นการเสื่อมตามอายุรถ ช่วงล่างของ Civic รุ่นนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเปราะ แต่ถ้าผ่าน 150,000 กิโลเมตร อาจต้องมียกชุดลูกหมากกันบ้าง

ถามว่าเป็นรถเจ้าปัญหาขนาดนั้นเลยหรือ? ก็ถ้าหากคุณเทียบกับ Toyota Corolla Altis ก็คงใช่ แต่อย่างน้อยผมไม่ค่อยเจอ Civic Turbo ขึ้นรถยกโดยสาเหตุอื่นนอกจากเจ้าของซัดจนรถหลับเอง ไม่ค่อยมีอะไรที่พังถึงขนาดต้องเรียกคนอื่นมารับ ส่วนมากเป็นปัญหาที่เกิดจากโมดิฟาย หรือไม่ก็เป็นปัญหาเชิงน่ารำคาญ ซึ่งถ้าเกิดกับรถป้ายแดง คือไม่ดี แต่กับรถมือสองอายุ 5-7 ปี ผมว่าพอคุยพอซ่อมกันได้

ถ้าคุณรับสิ่งเหล่านี้ได้ Honda Civic Turbo RS จะเป็นรถครอบครัวซีดาน หน้าตาดุดัน แต่ใจดี อยากจะขับแบบสบาย หรือขับแบบซิ่งกระจาย ขึ้นอยู่กับเงินและใจเจ้าของรถ คนขับใช้เดิมๆ ก็สบายใจ ถึงเวลาขาย ถ้าไม่ใช่พวกรถสีแปลก ก็ขายออกง่าย มีคนรอซื้อเยอะ ราคามือสองของ Honda Civic แข็งกว่า Toyota Corolla และ Mazda 3 เยอะครับ ถ้าซื้อมาใช้ 3 ปีเบื่อแล้วไม่ได้เจอรายการซ่อมหนักๆ อันนี้คือคุ้มเลย เพราะตอนนี้ราคาซื้อของ Turbo RS 2016 นั้น เกือบจะเท่าครึ่งนึงของราคาตอนป้ายแดงอยู่แล้ว ส่วนคนที่อยากโมดิฟายเพิ่มเติม ก็จะสนุกไปกับมัน เพราะ Honda เกิดมาเพื่อสายแต่งอยู่แล้ว คุณอาจลงเอยแต่งรถจนหมดเงินเท่าราคารถง่ายๆ เลยก็ได้ นี่คือเสน่ห์ของ Honda ที่เหมาะมากกับคนที่อินกับการทำรถ ลองดูครับ ว่าสไตล์ไหนที่ใช่สำหรับคุณ.

ที่มา:ไทยรัฐ

ผู้นำเสนอข่าว

ยัยแม่มด

Written by:

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *