“บิ๊กต่อ-เมีย” เบี้ยวนัด ป.ป.ช. รับทราบข้อหาซุกบ้านอังกฤษ โจ๊กได้ลุ้นพลิก คืนทุ่งปทุมวัน

“บิ๊กต่อ-เมีย” เบี้ยวนัด ป.ป.ช. รับทราบข้อหาซุกบ้านอังกฤษ โจ๊กได้ลุ้นพลิก คืนทุ่งปทุมวัน

“บิ๊กต่อ” และภรรยา เบี้ยวพบคณะอนุฯ ป.ป.ช.รับทราบข้อกล่าวหาซุกบ้านมูลค่า 20 ล้านบาท ที่ประเทศอังกฤษ “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาฯ ป.ป.ช. เผย น่าจะขอเลื่อน แต่คณะอนุกรรมการต้องพิจารณาว่ามีเหตุผลหรือไม่ หลังจากนั้นสรุปรายละเอียดเสนอ คณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยว่ามีกรณีจงใจยื่นบัญชีเท็จ ปกปิด หรือไม่ยื่นหรือไม่ ส่วนกรณีคำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการไว้ก่อน “เอก อังสนานนท์” ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ วิเคราะห์หลังกฤษฎีกามีความเห็นตามที่สำนักเลขาธิการนายกฯสอบถาม ถึงยังไงต้องรอ ก.พ.ค.ตร.ชี้ขาด เพราะมีผลถึงการรับราชการและลุ้นตำแหน่ง ผบ.ตร.ในอนาคต

กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และภรรยามาแจ้งข้อกล่าวหา กรณีไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นบ้านที่ประเทศอังกฤษมูลค่า 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 พ.ค. แต่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และภรรยาไม่ได้มารับทราบข้อกล่าวหานั้น ความคืบหน้าจาก ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 29 พ.ค. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ว่าทราบว่าเมื่อวานนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และภรรยายังไม่ได้มารับทราบข้อกล่าวหา น่าจะขอเลื่อน ตอนนี้ตนยังไม่ได้รับทราบว่าอนุมัติให้เลื่อนหรือไม่ ทราบเพียงแต่ว่าทั้ง 2 คนไม่ได้มา

ถามว่าตามระเบียบ ป.ป.ช.กรณีนี้ขอเลื่อนได้หรือไม่ เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวว่า ได้ ถ้ามีเหตุผลและความจำเป็น ส่วนใหญ่เราจะให้ขยายเวลาการชี้แจง ถามย้ำว่าได้กี่ครั้งและครั้งละกี่วัน เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า เป็นดุลพินิจของอนุกรรมการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ตนไม่สามารถชี้ว่ากี่วัน ต้องดูเหตุผลความจำเป็น ตามกฎหมายมีกรอบกำหนดอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมเราต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาว่ามีเหตุผลความจำเป็นว่าให้ชี้แจงภายในกี่วัน แต่เพื่อความเป็นธรรมเราต้องพิจารณาว่ามีเหตุผลมีความจำเป็นหรือไม่ เช่น การเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือเกิดอุบัติเหตุไม่สามารถมาได้ ต้องดูเหตุผลแต่ละกรณี เราต้องไปตรวจสอบเหตุผลที่อ้างว่า หากเจ็บป่วยมีใบแพทย์หรือไม่ถึงขนาดไม่สามารถมาชี้แจงได้

“ยังไม่ถึงขั้นคณะอนุกรรมการไต่สวน เพราะในกระบวนการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินจะใช้แค่คณะอนุกรรมการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและคณะพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น มันจะแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญา การตรวจสอบทรัพย์สินจะเป็นลักษณะทางแพ่ง ไม่เหมือนกับคดีอื่นๆ” เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าว

ถามว่าหากตรวจพบว่ามีการซุกทรัพย์สินหรือซุกหนี้ ขั้นตอนจะเป็นอย่างไร นายนิวัติไชย ตอบว่า จะมีการสรุปรายละเอียดให้บุคคลที่เกี่ยวข้องชี้แจงและสรุปรายละเอียดเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะวินิจฉัยว่ามีกรณีจงใจยื่นบัญชีเท็จ ปกปิด หรือไม่ยื่นหรือไม่ มีนิติกรรมอำพรางหรือมีเจตนาปกปิดซ่อนเร้นทรัพย์สินหรือไม่ ต้องดูที่เจตนา ถามถึงกรณีภรรยา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ พบว่าสัญญาเงินกู้ 20 ล้านบาทอาจเป็นนิติกรรมอำพราง ไม่มีการกู้ยืมเงินกันจริงๆ นี่คือจุดตั้งต้นของการตรวจสอบเรื่องทรัพย์สินใช่หรือไม่ และเป็นที่มาของการแจ้งข้อกล่าวหาใช่หรือไม่ เลขาธิการ ป.ป.ช.ตอบว่าน่าจะเป็นเรื่องของการตรวจสอบเกี่ยวกับรายละเอียดของทรัพย์สิน ส่วนรายละเอียดข้อเท็จจริงตนต้องขออนุญาตไม่ให้ข้อมูลเพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ด้านความเคลื่อนไหวคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ออกจากราชการไว้ก่อน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 29 พ.ค. พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เผยกรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบคำถามสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กรณีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ออกจากราชการไว้ก่อนว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสอบถามความเห็นกรณีนี้ 2 ประเด็นคือ การสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อน นายกรัฐมนตรีต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อให้โปรดเกล้าฯ พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ และมีกรอบระยะเวลาต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกาตอบว่า นายกรัฐมนตรีต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลตามมาตรา 140 และมาตรา 179 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 ส่วนกรอบเวลาอยู่กับดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบภายในระยะเวลาเหมาะสม

“นอกจากนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งข้อสังเกตว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน หากเป็นการปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้นจะชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายและเป็นธรรมกับผู้ถูกสอบสวน สำหรับ 2 ประเด็นที่สอบถามไป หน่วยงานรัฐที่สอบถามความเห็นจะต้องปฏิบัติตาม เป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2482 และแนวคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่ได้มีผลบังคับให้หน่วยงานต้องปฏิบัติตาม ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานนั้น อย่างกรณีนี้นายกรัฐมนตรีอาจรับข้อสังเกตมาพิจารณา แต่ต้องนำความขึ้นทูลเกล้าฯ แน่นอนตามที่วินิจฉัย แต่เมื่อไหร่ นายกรัฐมนตรีอาจต้องรอฟังผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร.” พล.ต.อ.เอกกล่าว

พล.ต.อ.เอกกล่าวอีกว่า การวินิจฉัยของ ก.ค.พ.ตร.เทียบเท่ากับศาลปกครองชั้นต้น การวินิจฉัยจะมี 2 แนวทางคือ กรณีแรกเป็นคุณกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผลคือต้นสังกัดจะต้องมีคำสั่งให้กลับเข้ารับราชการทันที มีผลย้อนหลังกลับไปตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. เป็นวันที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน และเชื่อว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะนำคำวินิจฉัยดังกล่าวเพื่อใช้สิทธิฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. อย่างแน่นอน ส่วนกรณีผลคำวินิจฉัยเป็นโทษ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สามารถร้องศาลปกครองสูงสุดได้ มีกรอบนระยะเวลา 90 วัน ย้ำว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมายไม่ใช่ว่าใครจะมาให้ความเห็นว่าต้องเข้ามาตรา 120 วรรคท้าย หรือมาตรา 131 ต้องรอ ก.พ.ค.ตร.และศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด

“ทั้งนี้ ทราบว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบข้อหารือและส่งเรื่องมาให้สำนักงานเลขาธิการนายก รัฐมนตรีแล้ว ตามไทม์ไลน์ รรท.ผบ.ตร.มีคำสั่งให้ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยและให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อวันที่ 18 เม.ย. จากนั้นวันที่ 22 เม.ย.ส่งเรื่องไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นำความขึ้นกราบบังคมทูล แต่กรณีนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร.ในประเด็นเกี่ยวกับข้อกฎหมายดังกล่าว ปรากฏว่าสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาพิจารณา ต่อมาวันที่ 9 พ.ค.สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีหนังสือแจ้งไปยัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ว่า คำสั่งตั้งกรรมการสอบวินัยและให้ออกจากราชการดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการจะยกเลิกคำสั่งให้ไปอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร.” ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิกล่าว

พล.ต.อ.เอกกล่าวย้ำว่า สถานะของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขณะนี้ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน และกระบวนการทางกฎหมายยังไม่สมบูรณ์ ต้องรอกระบวนการโปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่งจะมีผลย้อนหลังกลับไปตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการคือ 18 เม.ย.67 กระบวนการวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.จะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์หลายเรื่อง หากล่าช้าออกไปอาจเสียสิทธิการเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. ขณะเดียวกันการพิจารณาวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.มีความเป็นอิสระความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวไม่มีผลต่อการพิจารณาวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ ตามขั้นตอนปกติสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรีนำความขึ้นกราบบังคมทูล แต่กรณีนี้มีการอุทธรณ์และร้องทุกข์หลายหน่วยงาน

ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 17.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ฐานะรักษาราชการแทน ผบ.ตร.เข้าพบ เพื่อรายงานความคืบหน้ากรณีบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ว่า ไม่ได้พูดคุยกันเรื่องดังกล่าว เป็นการพูดคุยเรื่องอื่น เรื่องอาชญากรรม ยืนยันว่าไม่ได้คุยเรื่อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถามว่า นายกฯมองอย่างไรกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุให้ออกจากราชการตรงนี้ ยังไม่ถูกต้องและสมบูรณ์ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่สมบูรณ์ ตนขอใช้ว่าไม่สมบูรณ์ดีกว่า ตนเชื่อว่าหากมีการทักท้วงมาต้องรับฟังและต้องให้ดำเนินการต่อไป ต้องมีความรอบคอบในการปฏิบัติ ถามต่อว่าหลังจากนี้จะต้องไปศึกษาข้อกฎหมายทำให้ถูกต้องใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ถูกต้อง ใช่ครับ

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่ากังวลใจใช่หรือไม่ นายกฯตอบว่า กังวลใจทุกเรื่องอย่างที่เคยบอก คำถามนี้ถามกันบ่อยเหลือเกิน เรื่องของความกังวลใจ เพราะว่ากังวลใจก็ต้องทำให้มันถูกต้อง มันมีรายละเอียดย่อยที่ต้องทำ และมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับฟังความคิดเห็นให้ครบถ้วน ถามย้ำว่าต้องฟังคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ด้วยหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ทุกๆภาคส่วนเดี๋ยวต้องมานั่งพูดคุยกัน แต่มันมีขั้นตอนระหว่างอะไรก่อนอะไรหลังด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวขอไปลำดับเรื่องก่อนว่าอะไรมาก่อนอะไรมาหลัง

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/

ผู้นำเสนอข่าว

Hnoy

Written by:

3,818 Posts

View All Posts
Follow Me :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *