ทรัมป์ป่วนโลก!! สงครามการค้าทวีความตึงเครียด เงินทุนทั่วโลกหนีสินทรัพย์เสี่ยง แห่ถือเงินสดและเข้าลงทุนในทองคำ สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงสุด ดันราคาทองพุ่งทำ All Time Hight ทองรูปพรรณพุ่งกว่าบาทละ 50,300 บาท ทำนิวไฮเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ราคาทองแท่งพุ่งเฉียด 50,000 บาท ด้าน “จิตติ” นายกค้าทอง ชี้ทองคำมีโอกาสขึ้นต่อ ขณะที่ “กอบศักดิ์” ระบุกระแสเงินทุนโลกผันผวน คนกังวลนโยบายทรัมป์ ลดการถือเงินดอลลาร์–สินทรัพย์เสี่ยง ลุ้น 2 เม.ย.ไทยถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาทองคำวันที่ 28 มี.ค. 68 ว่า เปิดตลาดราคาทองคำพุ่งขึ้น 600 บาท ทำ All Time Hight สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสมาคมค้าทองคำประกาศ ทองรูปพรรณขายออกที่บาทละ 50,150 บาท ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ รับซื้ออยู่ที่บาทละ 49,250 บาท ขายออกที่ราคาบาทละ 49,350 บาท โดยระหว่างวันขึ้นไปสูงสุดที่ราคาขายออกบาทละ 49,500 บาท บวก 750 บาท ทองรูปพรรณขายออกที่บาทละ 50,300 บาท
โดยบทวิเคราะห์ ฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำ All-time high จากแรงหนุนความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านสงครามการค้าที่อาจรุนแรง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กในอัตรา 25% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. และการเรียกเก็บภาษีชิ้นส่วนรถยนต์จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 เม.ย. ขณะที่แคนาดาและฝรั่งเศสได้ประกาศจะใช้มาตรการตอบโต้กลับเช่นกัน ส่วนกองทุนทองคำขนาดใหญ่ SPDR ได้เข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นอีก 0.29 ตัน
ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองพุ่งขึ้นมาเยอะมาก ยังหาข้อมูลอยู่ว่าทำไมราคาปรับขึ้นแรงและเร็วขนาดนี้ เพราะตามที่คาดว่าราคาทองจะต้องขึ้น จากนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำให้หลายประเทศกังวล เรื่องเรียกเก็บภาษีในวันที่ 2 เม.ย.ที่จะถึงนี้ แต่ราคาทองกลับขึ้นเร็วกว่าที่คาด ขณะที่ยังประเมินว่าราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง หากราคาทองคำยืนเหนือ 3,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ต่อเนื่อง มีโอกาสขึ้นไปแตะที่ระดับ 3,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และถัดไปที่ 3,120 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแน่นอน
ขณะที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวถึงทิศทางการเคลื่อนย้ายเงินทุนของโลก ว่าจะมีความผันผวนต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่งทั้งในตลาดเงิน ตลาดทุน และตลาดสินทรัพย์ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ ยังคงกังวลใจและติดตามนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้นักลงทุนทั่วโลกลดการถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย โดยสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดคือ ทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนักลงทุนบางส่วนยังเลือกออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อถือเงินสด
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางส่วนใหญ่ ก็มีความกังวลถึงการถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ ที่อาจจะไม่มั่นคง หากเกิดเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบาย สหรัฐฯ อาจจะอายัดสินทรัพย์ส่วนที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เหมือนที่เคยทำกับรัสเซีย ทำให้มีการเปลี่ยนจากการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯไปเป็นทองคำมากขึ้น ทำให้แนวโน้มทองคำจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น
“ในเรื่องความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย ทั้งการลงทุนระยะสั้นและระยะยาว จะเป็นไปอย่างนี้อีกระยะ ดังนั้น นักลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนจะต้องระวังตัว และหาทางป้องกันตัวเอง ขณะที่ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยจากนโยบายของทรัมป์นั้น จะต้องติดตามการประกาศขึ้นภาษีเป็นการทั่วไปของประเทศต่างๆของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีโอกาสถูกขึ้นภาษี แต่ต้องลุ้นว่า ภาษีของเราจะต่ำกว่าประเทศอื่นหรือไม่ โดยในอาเซียนประเทศที่มีโอกาสถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย ไทยและมาเลเซีย”
นายกอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้สงครามการค้าโลกเป็นเรื่องที่ยักษ์ใหญ่ทะเลาะกัน คือ สหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป ที่ต่างตอบโต้กันด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกัน เห็นได้ว่า เมื่อสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จีนตอบโต้ขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นเดียวกับสหภาพยุโรปที่ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ และไม่รู้ว่าการตอบโต้กันเมื่อไรจะจบ ทำให้ประเทศเล็กๆอย่างเราต้องเตรียมพร้อม ทั้งผลกระทบทางตรงในด้านการส่งออก และการทะลักของสินค้าที่เข้าสหรัฐฯไม่ได้ เข้ามาสู่ตลาดไทยและตลาดอาเซียน.
ที่มา ไทยรัฐ