“รองเต่า” นำตำรวจ ปปป. เปิดปฏิบัติการ “สยบนาคี” ทลายเครือข่ายทุจริตยา รพ. ทหารผ่านศึก แล้วนำขายต่อบุคคลภายนอกหรือร้านขายยา ผลปฏิบัติจับ พ.อ.หญิง แพทย์หญิง 2 ตัวการสำคัญ และผู้ร่วมขบวนการรวมทั้งสิ้น 12 ราย แบ่งเป็นออกหมายจับ 8 ราย อยู่ระหว่างเรียกมาแจ้งข้อหาอีก 4 ราย ยึดของกลางอื้อเงินสดอีก 10 ล้าน เผยพบเส้นเงิน พ.อ.หญิง หัวหน้าขบวนการจัดหาเครือข่ายรับยาที่ รพ. ตั้งแต่ปี 61-68 มีเงินถูกโอนเข้าบัญชีกว่า 40 ล้านบาท ส่วนยอดความเสียหายประเมินไว้ที่ประมาณ 80 ล้านบาท ขณะที่ พญ.ทำหน้าที่สั่งจ่ายยาวินิจฉัยโรคให้เกินจากโรคที่เป็นอยู่จริงให้กับเครือข่ายที่จัดเตรียมมา ขณะที่ทั้งหมดให้การปฏิเสธ
“รองเต่า” บูรณาการกำลังเปิดปฏิบัติการ “สยบนาคี” จับยกแก๊งทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 26 มี.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผกก.1 บก.ปปป.นำชุดปฏิบัติการ กก.1 บก.ปปป. ร่วมกับ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท.เปิดปฏิบัติการ “สยบนาคี” ตรวจค้นเป้าหมาย 18 จุดในพื้นที่ กทม. ลพบุรี ปราจีนบุรี และชลบุรี จับกุมผู้ต้องหาแก๊งทุจริตเบิกจ่ายยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก (รพ.ผศ.) นำไปขายต่อบุคคลภายนอก ตามหมายจับ 8 ราย
จุดแรกจับกุม พ.อ.หญิง กัญยารัตน์ จิตต์ประสงค์ อายุ 59 ปี ข้าราชการบำนาญ ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 39/68 จำนวน 3 ข้อหา เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ม.157, เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร อันเป็นเท็จ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ จับได้ที่บ้านย่านเกียกกาย โดย พ.อ.หญิง กัญยารัตน์ เป็นหัวหน้าขบวนการจัดหาเครือข่ายบุคคลจาก จ.ลพบุรี เข้ารับยาจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และนำยาทั้งหมดที่ได้ให้แม่ทีมเครือข่ายแลกกับค่าจ้างร้อยละ 10 ของค่ายา และจะได้ค่าจ้างรายหัวอีกรายละ 1,500 บาท
อีกหนึ่งเป้าสำคัญคือ บ้าน พญ.บรินดา อุจวาที อายุ 48 ปี ผู้ชำนาญการ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ย่านลาดพร้าว 71 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 38/68 ข้อหา เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ม.157, เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารอันเป็นเท็จ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ โดย พญ.บรินดา เป็นคนทำหน้าที่สั่งจ่ายยาวินิจฉัยโรคให้เกินจากโรคที่เป็นอยู่จริงกับผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้ป่วยที่เข้ารับยาในขบวนการนี้
นอกจากนี้ยังจับกุมนายสมปราช เคนถาวร อายุ 49 ปี ร.ต.หญิง ภาวนา เคนถาวร อายุ 49 ปี น.ส.สุรีย์ ถิรนุทธิ อายุ 50 ปี นายสมพงศ์ กิจเจริญไพศาล อายุ 53 ปี นายทินกร จันทร์เมือง อายุ 49 ปี และนางอภิญญา จรจรัส อายุ 56 ปี ทั้ง 6 คน ถูกออกหมายจับข้อหาเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ม.157, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารอันเป็นเท็จ, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
ปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจาก พล.อ.เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผอ.องค์การทหารผ่านศึก (อยศ.) ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ให้ดำเนินคดีกับขบวนการทุจริตยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเพื่อนำไปขายต่อให้บุคคลภายนอก หลังพบการทุจริตตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน แนวทางการสืบสวนพบทั้งหมดทำเป็นขบวนการ มี พ.อ.หญิง กัญยารัตน์ เป็นหัวหน้าวางแผนให้แม่ข่ายจัดหาบุคคลมาพบแพทย์ทำทีตรวจรักษากับ พญ.บรินดา เพื่อสั่งจ่ายยาให้กับผู้นั้นเกินจากโรคที่เป็นอยู่จริง ก่อนจะรวบรวมยาทั้งหมดแล้วนำไปขายตามคลินิก หรือร้านยาต่างๆแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งกัน จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ พ.อ.หญิง กัญยารัตน์ ตั้งแต่ปี 2561-2568 มีเงินถูกโอนเข้าบัญชีรวมกว่า 40 ล้านบาท ขณะที่ความเสียหายจากการทุจริตขณะนี้ประเมินไว้ที่ประมาณ 80 ล้านบาท
ต่อมาเวลา 15.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผกก.1 บก.ปปป. พร้อมผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวปฏิบัติการ “สยบนาคี” บุกจับแพทย์ พยาบาลทหาร พร้อมพวก ร่วมทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก หลังเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 8 ราย และตรวจค้นร้านยาที่ต้องสงสัยอีก 11 จุด
นอกจากนี้ยังตรวจยึดของกลางประกอบด้วย กล่องลังที่ใช้บรรจุยา เงินสด 10.9 ล้านบาท โฉนดที่ดินที่พบในบ้านซอยแสงจันทร์ เขตคลองเตย ถุงซิปล็อกใส่ยาที่แกะฉลากชื่อออกแล้วจำนวนมาก ถุงพลาสติกสีฟ้าที่ใช้บรรจุยาหลังนำมาพักแล้วส่งต่อไป จ.ปราจีนบุรี, ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดยี่ห้อ Pradaxa หลายกล่อง
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.กล่าวว่า ต้องขอบคุณผู้แจ้งเบาะแสที่พบเห็นการทุจริตแล้วไม่นิ่งดูดาย ใช้ความรู้และทรัพย์สินส่วนตัวเก็บข้อมูลภาพคลิปหลักฐานทุกอย่าง ผบช.ก.จะมอบโล่ทำความดีเพื่อสังคมให้ สำหรับผู้ต้องหากลุ่มนี้ยังเป็นแค่กลุ่มแรกยังมีอีกหลายกลุ่มที่มีแผนประทุษกรรมแบบนี้เป็นขบวนการใหญ่ทำกันหลายที่หลายโรงพยาบาล หลังจากนี้จะต้องไปตามเช็กบิล ตอนนี้ตำรวจได้ข้อมูลจากกรมบัญชีกลางแล้ว กำลังตรวจสอบว่ามีใครเข้าข่ายความผิดอีก หากใครรู้ตัวมีส่วนเกี่ยวข้อง ให้รีบเข้าพบเจ้าหน้าที่ถ้าช้าจะถูกออกหมายจับ
ด้าน พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. กล่าวว่า หลังมีการเปิดประเด็นเรื่องนี้ทางโซเชียลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตำรวจได้รับข้อมูลและสืบสวนจนระบุตัวผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด 12 ราย ขอออกหมายจับ 8 ราย อีก 4 รายเป็นระดับแม่ข่ายอยู่ระหว่างเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา
ส่วน พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผกก.1 บก.ปปป.กล่าวว่า คดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2561 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐได้แก่ พญ.บรินดาที่สั่งจ่ายยา และกลุ่มผู้สนับสนุนคือ พ.อ.หญิงกัญยารัตน์ ที่เกณฑ์คนผ่านแม่ทีมจาก จ.ลพบุรี 6 ทีมรวมกว่า 600 คน ขึ้นรถตู้มาพบ พญ.บรินดาที่ รพ.ทหารผ่านศึก ทุกคนมีสิทธิเบิกจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง ได้ค่าตอบแทนหัวละ 1,000 บาทในครั้งแรก จากนั้นได้หัวละ 500 บาท และได้เปอร์เซ็นต์อีก 10% จากค่ายาที่เบิกได้ ส่วนแม่ทีมได้ค่าตอบแทนหัวละ 1,500 บาท หลังรับยามาแล้วจะมารวมตัวที่ปั๊มน้ำมันข้างๆ รพ. นัดหมายนำยาไปส่งที่ต่างๆทั้งที่พักย่านเกียกกาย และคอนโดย่านพระราม 4 ของ พ.อ.หญิง กัญยารัตน์ ใน 1 สัปดาห์ พญ.บรินดาจะลงตรวจทั้งหมด 3 วัน ดังนั้นทุกวันอาทิตย์จะมีรถแท็กซี่มารับยาจากที่พักนำไปส่งให้นายสมปราชที่ จ.ปราจีนบุรี ก่อนจะส่งกลับมาที่กรุงเทพฯให้ น.ส.สุรีย์ และนายสมพงศ์ส่งยาไปตามร้านขายยาต่างๆใน กทม.และปริมณฑล จากการตรวจค้นที่ จ.ปราจีนบุรี พบถุงสีฟ้าที่บรรจุยาตรงกับที่พบในคอนโดย่านพระโขนงและพระราม 4 ด้วย
ด้าน ภก.เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการองค์การอาหารและยา (อย.) เปิดเผยถึงการเข้าตรวจสอบร้านขายยาทั้ง 11 ร้าน ว่า มี 5 ร้านที่ดำเนินการถูกต้อง แต่อีก 6 ร้านมีความสุ่มเสี่ยงที่จะรับยามาจากแหล่งที่ไม่ถูกต้อง และขายยาโดยที่เภสัชกรไม่อยู่ อีกทั้งขายยาในกลุ่มที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ต้องตรวจสอบต่อว่ายาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทนั้นนำมาจากที่ใด
ส่วน พล.อ.เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผอ.องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก กล่าวว่า ตั้งแต่รับตำแหน่ง เห็นความผิดปกติของงบการเงินโรงพยาบาล และความผิดปกติของกลุ่มคนที่มารับบริการที่มีชื่อซ้ำๆกันในช่วงเวลาเดียวกันที่มีแพทย์เพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจ ในปีงบประมาณ 2567 เข้มงวดกับเงื่อนไขการเบิกจ่ายยา ส่งผลให้งบการเงินกลับมาเป็นบวกมีกำไร 70 ล้านบาท ยืนยันจะควบคุมระเบียบร่วมกับกรมบัญชีกลาง ไม่ให้เงินภาษีประชาชนรั่วไหล
ด้าน พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการ คณะกรรมการ ป.ป.ท. เผยเพิ่มเติมว่า ถือเป็นการดำเนินคดีเครือข่ายทั้งหมด 12 คน ครบทั้งขบวนการทั้งหมดที่ถูกจับให้การปฏิเสธ โดยนายสมปราช คนรับยาจาก พ.อ.หญิงกัญยารัตน์ และถูกจับที่ จ.ปราจีนบุรี ยอมรับแค่พฤติการณ์ที่ทำแต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา ตรวจสอบพบว่าหลังนายสมปราชรับยาจาก พ.อ.หญิงกัญยารัตน์ มี น.ส.สุรีย์ได้ซื้อต่อแล้วนำมาส่งต่อที่ร้านขายยา โดยนายสมปราช กับ น.ส.สุรีย์ รู้จักกันผ่านโซเชียลค้าขายยากันมา 6-7 ปี ส่วนยามี 2 ชนิด คือ ยาในบัญชีที่ผลิตในประเทศ ไทย ส่วนยานอกบัญชีคือยาที่นำเข้าจากนอกประเทศ มีราคาแพง ในเคสนี้เป็นยานอกบัญชี 90% ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นห่างกัน 2-10 เท่าตัว และเคสนี้ยาไม่มีต้นทุนเพราะทุกบัตรประชาชนที่ถือมา คนที่จ่ายเงินคือกรมบัญชีกลาง
พ.ต.ท.สิริพงษ์กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบเป็นยาในกลุ่มเรื้อรัง ยาเบาหวาน ความดัน ยาที่พบมากที่สุดในขบวนการนี้คือ ยาลดไขมันในเลือด มีราคาเกือบ 1,000 บาทต่อกล่อง ต้นทุนอาจจะ 3 บาทต่อเม็ด แต่พอถึงร้านขายยาเพิ่มขึ้นเป็น 20-21 บาทต่อเม็ด ความเสียหายต่อรัฐทั้งหมด 50-60 ล้านบาท สำหรับพยานหลักฐานที่สามารถเอาผิดได้นั้น เริ่มจากการใช้ดุลพินิจที่ผิดปกติ จากการไปตรวจสอบเวชระเบียน พบการกรอกเอกสารเท็จ และมีพยานหลักฐานยืนยันเรื่องการรับประโยชน์ เส้นทางการเงิน รวมถึงการตรวจสอบการทำหน้าที่ของแพทย์หญิง 5 ปีย้อนหลังมีคนไข้ที่อยู่ในความดูแล 2,000 กว่าคน และเครือข่ายพวกนี้จะแวะมา รพ. 4 ครั้งต่อปีเท่ากับจะรักษาคนไข้และจ่ายให้หมื่นกว่าครั้งต่อปีเป็นความผิดปกติทั้งหมด
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/
