ประชาชนหลายนับแสนคนทางตะวันออกของออสเตรเลีย ได้รับคำสั่งให้อพยพก่อนที่พายุไซโคลนอัลเฟรดจะพัดขึ้นฝั่งในเช้าวันเสาร์ เนื่องจากพายุเริ่มทำให้เกิดฝนตกหนัก คลื่นยักษ์ และกระแสลมแรง ที่ส่งผลให้ไฟฟ้าดับ และสนามบินต้องปิดทำการ
ประชาชนหลายนับแสนคนทางตะวันออกของออสเตรเลีย ได้รับคำสั่งให้อพยพก่อนที่พายุไซโคลนอัลเฟรดจะพัดขึ้นฝั่งในเช้าวันเสาร์ เนื่องจากพายุเริ่มทำให้เกิดฝนตกหนัก คลื่นยักษ์ และกระแสลมแรง ที่ส่งผลให้ไฟฟ้าดับ และสนามบินต้องปิดทำการ คาดว่าพายุไซโคลนจะพัดขึ้นฝั่งในระดับ 2 ในช่วงค่ำวันศุกร์หรืออาจจะเช้าตรู่วันเสาร์ ตามเวลาท้องถิ่น
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศระบุว่าเส้นทางของพายุช้าลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และเคลื่อนที่ “ไม่สม่ำเสมอ” ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การขึ้นฝั่งล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สำนักอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลีย กล่าวว่า “พายุระดับ 2 หมายถึงลมใกล้ศูนย์กลางด้วยความเร็วสูงถึง 95 กม./ชม. และกระโชกแรงถึง 130 กม./ชม.”
มีผู้คนกว่า 4 ล้านคนอยู่ในแนวของพายุไซโคลนอัลเฟรด คาดว่าจะพัดเข้าระหว่างชายฝั่งซันชายน์โคสต์และโกลด์โคสต์ ซึ่งเป็นชายฝั่งของออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงในเรื่องชายหาดที่สวยงาม รวมถึงเมืองบริสเบน เมืองใหญ่เป็นอันดับสามของออสเตรเลีย
นอกจากกระแสลมแรงแล้ว คาดว่าพายุไซโคลนอัลเฟรดจะทำให้เกิดฝนตกหนักถึง 800 มม. ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของรัฐควีนส์แลนด์และทางตอนเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยน้ำท่วมฉับพลันและจากแม่น้ำเอ่อล้นฝั่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในพื้นที่ลุ่มน้ำ
โรงเรียนเกือบ 1,000 แห่งปิดทำการ ระบบขนส่งสาธารณะถูกระงับ และสนามบินถูกปิดให้บริการ คาดว่าเที่ยวบินจะกลับมาให้บริการได้เร็วที่สุดในวันอาทิตย์
แม้ว่ารัฐควีนส์แลนด์จะคุ้นเคยกับพายุไซโคลนเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นรัฐที่มักเกิดภัยพิบัติมากที่สุดในออสเตรเลีย แต่ก็ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักที่พายุไซโคลนจะพัดเข้ามาทางใต้ของรัฐ ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นคือในปี 1974 เมื่อพายุไซโคลนแวนดาพัดถล่มในเดือนมกราคม และตามมาด้วยพายุโซอี ในอีกสองเดือนต่อมา
อย่างไรก็ตาม น้ำท่วมเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 บ้านเรือนหลายพันหลังได้รับความเสียหายจากฝนตกหนักในพื้นที่ทางตะวันออกของออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ได้เตรียมชุมชนให้พร้อมรับมือกับพายุไซโคลนอัลเฟรด หน่วยงานท้องถิ่นได้เปิดคลังกระสอบทรายทั่วทั้งภูมิภาคเพื่อให้ประชาชนนำไปป้องกันบ้านเรือนของตน.
ที่มา BBC