สหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนบางรายการถึง 104% โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนว่ามีความ “รุนแรง” และระบุว่าภาษีนี้มีความจำเป็นต่อวิสัยทัศน์ของเขาที่มีต่อสหรัฐฯ
สหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนบางรายการถึง 104% โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนว่ามีความ “รุนแรง” และระบุว่าภาษีนี้มีความจำเป็นต่อวิสัยทัศน์ของเขาที่มีต่อสหรัฐฯ
โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์หลังการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มการผลิตถ่านหินของสหรัฐฯ เขาได้กล่าวถึงการประกาศภาษีศุลกากร “ที่ค่อนข้างรุนแรง” ที่เขาประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างสั้นๆ ทรัมป์ไม่ได้ตอบคำถามจากนักข่าว และมีผู้ตะโกนถามขณะที่เขากำลังออกจากห้องว่า “คุณมีข้อความอะไรถึงผู้นำธุรกิจที่กังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรดังกล่าวหรือไม่?”
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยันว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากร 104% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวันพุธที่ 9 เม.ย. เวลา 00.01 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเวลา 11.01 น.ตามเวลาไทย โดยนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า จีนกำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่ด้วยการคิดตอบโต้สหรัฐฯ ขณะที่จีนเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ เปรียบเทียบจีนที่กำลังถือไพ่ 2 ใบในมือ ที่มีแค่ใบละ 2 แต้ม
ก่อนหน้านี้ จีนประกาศเรียกเก็บภาษี 34% ต่อสินค้านำเข้าทั้งหมดที่มาจากสหรัฐฯ โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.เพื่อตอบโต้ต่อการที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ ในอัตรา 34% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งเมื่อรวมกับมาตรการเรียกเก็บภาษีที่สหรัฐฯ บังคับใช้กับจีนที่ระดับ 20% จะทำให้จีนต้องเผชิญกับอัตราภาษีรวมจากสหรัฐฯ สูงถึง 54%
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ให้เวลารัฐบาลจีนจนถึงวันที่ 8 เม.ย.ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษี 34% ดังกล่าวต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ มิฉะนั้นจีนจะถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 50% ซึ่งจะทำให้จีนถูกเรียกเก็บภาษีรวมจากสหรัฐฯ สูงถึง 104% แต่จีนยืนยันว่าจะต่อสู้จนถึงที่สุด และจีนจะไม่ยกเลิกการเรียกเก็บภาษี 34% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่อย่างใด
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงในวันอังคารเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนี S&P 500 ปิดตัวต่ำกว่า 5,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี ปัจจุบันดัชนีอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 18.9% ซึ่งใกล้เคียงกับการลดลง 20% ซึ่งเป็นสัญญาณของสิ่งที่เรียกว่า “ตลาดหมี” (Bear Market) หรือการที่ภาวะที่ราคาหุ้นต่ำลงต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน ปริมาณการซื้อขายมีน้อย เปรียบเสมือนการเคลื่อนไหวของหมีที่อืดอาดเชื่องช้า
ดัชนี S&P 500 สูญเสียมูลค่าตลาดไปแล้ว 5.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 4 วัน นับตั้งแต่มีการสร้างดัชนีอ้างอิงนี้ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 ก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นจากความหวังว่าทรัมป์อาจเต็มใจที่จะเจรจาลดอุปสรรคการค้าระหว่างประเทศและสินค้าเฉพาะ
โดยดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นมีการเทขายในวงกว้างในเช้าวันนี้ (9 เม.ย.) และตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียก็เตรียมรับมือกับการร่วงลง ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้
ส่วนผลิตภัณฑ์ยาซึ่งได้รับการยกเว้นจากภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะกำหนดภาษีศุลกากรเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ยา โดยอ้างว่าจะช่วยย้ายการผลิตยาไปยังสหรัฐฯ โดยห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ยาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจีน อินเดีย และยุโรป
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าแม้ผลิตภัณฑ์ยาจะได้รับการยกเว้นจากภาษีศุลกากรของทรัมป์ในขณะนี้ แต่ภาษีศุลกากรสำหรับวัตถุดิบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยาอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนของยาสำหรับผู้บริโภค.
ที่มา BBC
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
เว็บไซต์ : https://www.thairath.co.th/