เงินบาทแข็งค่าได้แรงหนุนจากความหวัง จากการกลับมาฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนและโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(4ม.ค.2566) ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา ได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
ซึ่งช่วยลดแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ ในระยะสั้น เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากความหวังการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน
ซึ่งสะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นต่างชาติที่ยังต้องการเพิ่มสถานะ Short USDTHB (มองเงินบาทแข็งค่า)
รวมถึงแรงซื้อหุ้นไทยสุทธิ โดยเฉพาะหุ้นในธีม Reopening ทำให้เงินบาทก็มีโอกาสแข็งค่าทดสอบแนวรับในโซน 34.25-34.30 บาทต่อดอลลาร์ได้
(เงินบาทแข็งค่าทดสอบโซนดังกล่าวในวันก่อน หลังแข็งค่าหลุด 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราประเมินไว้)
อย่างไรก็ดี ควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น หากตลาดปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและหนุนให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้
แต่เรามองว่า หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็อาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าไปมากทะลุโซนแนวต้านแถว 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก
อนึ่ง การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น
ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.30-34.50 บาท/ดอลลาร์
ตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง
และความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานการประชุมเฟดล่าสุดและรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ) ทำให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.40%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นใหญ่ อาทิ Tesla -12% หลังยอดการส่งมอบรถยนต์ขยายตัวน้อยกว่าคาด และ Apple -3.7%
จากความกังวลผลกระทบของการระบาด COVID-19 ในจีนต่อการผลิตสินค้าของ Apple รวมถึงแนวโน้มความต้องการซื้อ iPhone ที่ลดลง
ส่วนในทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +1.22% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare (Novo Nordisk +2.8%, Novartis +2.7%)
ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างต้องการถือหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง กลุ่ม Healthcare
ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงแรงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Equinor -5.6%, TotalEnergies -1.7%) ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบจากความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน รวมถึงการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง
และผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานการประชุมเฟดล่าสุดและรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ
โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.5 จุด อีกครั้ง อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น แต่ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดและบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ทรงตัวใกล้ระดับ 3.76% ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ
(สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถปรับตัวขึ้นและแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,842 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีบางจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านแถว 1.850 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นก็ตาม
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในฝั่งสหรัฐฯ ทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดย ISM (Manufacturing PMI) เดือนธันวาคม
และยอดเปิดรับสมัครงาน (JOLTs Job Openings) ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งตลาดประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงมากขึ้น อาจส่งผลให้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่อง
สะท้อนผ่าน ดัชนี PMI ภาคการผลิตที่จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 48.5 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)
นอกจากนี้ ผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวก็จะส่งผลให้หลายบริษัทปรับแผนการจ้างงานมากขึ้น ทำให้ ยอดเปิดรับสมัครงานมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 10 ล้านตำแหน่ง
จากที่เคยแตะระดับสูงถึง 11.9 ล้านตำแหน่ง สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มตึงตัวน้อยลง แต่โดยรวมก็ยังมีความแข็งแกร่งอยู่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.33-34.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.46 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทลดช่วงแข็งค่ามาบางส่วน (เมื่อเทียบกับระดับแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือนที่ทำไว้ที่ 34.29 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวานที่ผ่านมา) ขณะที่แรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยกลับคืนมาบางส่วน
เนื่องจากตลาดกลับมากังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ดี คงต้องระมัดระวังกรอบการเคลื่อนไหวในระหว่างวันที่ยังอาจมีความผันผวนได้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.30-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์โควิดในจีน และการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนธ.ค.ของยุโรป
รวมถึงตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือนพ.ย. ดัชนี PMI /ISM ภาคบริการเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ และรายงานการประชุมเฟด
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.55บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในวันอังคาร จับตารายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะออกมาในวันพุธนี้
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในครั้งนี้ อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดได้มากเท่ากับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้
และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สหรัฐจะออกมารายงานในวันที่ 12 มกราคม
ค่าเงินยูโรดิ่งลง ในขณะที่สำนักงานสถิติของรัฐบาลกลางเยอรมนีรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในเดือนธันวาคมเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยเป็นผลจากการร่วงลงของราคาพลังงาน