รองผบก.ป.เผยผลสอบ “ชูวิทย์” ปมเงิน 6 ล้านบาท ขัดแย้งกับคำให้การของ “ทนายตั้ม” และ “อัจฉริยะ” เตรียมสอบ นายพล ป-อ และผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
วันนี้ (1 เม.ย.66) พันตำรวจเอก เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำเงินจำนวน 6 ล้านบาท ส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม เพื่อตรวจสอบที่มา ที่ไปของเงินจำนวนดังกล่าว ตามที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยที่มาของเงินว่ามาจาก “สารวัตรซัว” และอาจเข้าข่ายผิดฐานฟอกเงินว่า ตำรวจได้มีการสอบถามในประเด็นที่มาที่ไปของเงินว่าเป็นของใคร มาอยู่กับนายชูวิทย์ได้อย่างไร และมามอบให้ในวัตถุประสงค์ใด พร้อมทั้งระบุว่ามีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ นายพล “ป.” นายพล “อ.” รวมถึงบุคคลที่มีการกล่าวอ้างหรือไม่
ซึ่งยืนยันว่า นายชูวิทย์ จะให้การอย่างไรถือว่าเป็นสิทธิ์ของนายชูวิทย์ แต่ตำรวจก็มีสิทธิ์ที่จะเชื่อ หรือไม่เชื่อคำให้การก็ได้เช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาตำรวจมีหลักฐานจากการโพสต์ , ไลฟ์สด และการแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนของนายชูวิทย์ ที่ต้องนำมาพิจารณาและพิสูจน์ว่าข้อมูลใดเป็นเท็จหรือจริง เบื้องต้นเชื่อว่า ก่อนจะเข้าให้การ นายชูวิทย์ มีการปรึกษาฝ่ายกฎหมายมาก่อนแล้ว เนื่องจากกรณีดังกล่าวอาจจะมีความพัวพันกับความผิดมูลฐานฟอกเงิน เพราะเงินจำนวนดังกล่าวถูกระบุไว้ว่า เป็นเงินของ “สารวัตรซัว” ซึ่งเป็นผู้ต้องหา ที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบ และดำเนินคดีในความผิดเรื่องการจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ ตำรวจสอบสวนกลางในฐานะคนกลาง จึงต้องตรวจสอบในทุกมิติ และจะต้องเชิญนายพล “ป” , นายพล “อ” , นายเปา , นายศักดิ์ ที่มีข้อมูลว่าอยู่ด้วยกันในวันที่มีการส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าว ให้กับ นายชูวิทย์ ที่โรงแรมเดอะเดวิส มาสอบปากคำด้วย
ทั้งนี้การให้การของนายชูวิทย์เมื่อวานนี้ถือว่าเป็นการให้ปากคำอย่างเป็นทางการกับพนักงานสอบสวนครั้งแรก ของคดีเงิน 6 ล้านบาท ส่วนการให้สัมภาษณ์ไลฟ์สด หรือโพสต์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ ไม่ถือว่าเป็นการให้ถ้อยคำแต่อย่างใด
ส่วน นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนถึงกรณีเรื่องเงิน6ล้านบาทเรียร้อยแล้ว ซึ่งคำให้การของทั้ง 2 ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับนายชูวิทย์
ทั้งนี้เรื่องดังกล่าว พนักงานสอบสวนจะนัดหมายประชุมหารืออีกครั้งในสัปดาห์หน้า เพื่อวางกรอบการทำงานพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเรื่องราวทั้งหมด อีกทั้งต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินจำนวนดังกล่าวด้วย แต่เพราะการดำเนินคดีกับ “สารวัตรซัว” ยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับพนันออนไลน์ ทำให้เงิน 6 ล้านบาท อาจจะยังไม่เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน
ทั้งนี้ยืนยันว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะให้ความเป็นทำกับทุกฝ่าย ถึงแม้ว่านายชูวิทย์จะเคยเป็นผู้ร้องเรียนให้ทางกองบัญชาการสอบสวนกลาง ตรวจสอบ สว.ซัว ว่าเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์หรือไม่ แต่ในเมื่อนายชูวิทย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับเงิน6ล้านบาท ที่ก่อนหน้านี้มีการกล่าวอ้างว่าเป็นของ สว.ซัว ตำรวจจะต้องตัวสอบอย่างละเอียด ทำงานอย่างเต็มที่ ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ที่มา:sanook